“ภาคสังคม-เอ็นจีโอ”หนุนเซตซีโร่กรรมการสิทธิฯ

21 มิ.ย. 2560 | 10:37 น.
อัปเดตล่าสุด :21 มิ.ย. 2560 | 17:37 น.
86 องค์กรประชาสังคม และ 61  นักสิทธิมนุษยชน ร่อนจดหมายถึงสนช.-กรธ. ชงที่มา 7 กสม.-อำนาจหน้าที่ พร้อมหนุนเซตซีโร่ชุดปัจจุบัน

นายจตุรงค์ บุญยรัตนสุนทร ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพรประชาชน เปิดเผยว่า องค์กรภาคประชาสังคม 86 องค์กร และนักสิทธิมนุษยชน 61 ราย ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สน.) ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เสนอความเห็นต่อร่างพ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ใน 7 ประเด็น ด้วยหวังว่า เมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสนช.จะมีการปรับปรุงเนื้อหาให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นกว่าที่กรธ.ยกร่างส่งไป เพื่อให้ สอดคล้องกับหลักกติกาสากลที่ไทยให้การรับรองไว้ ซึ่งก็จะมีผลต่อการปรับอันดับสถานภาพด้านสิทธิมนุษยชนของไทย จากระดับบี เป็นเอ ในอนาคตด้วย โลโก้กสม.

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในข้อเสนอที่องค์กรภาคประชาสังคมเห็นด้วยกับกรธ. คือควรมีการเซตซีโร่ กสม.ชุดปัจจุบัน เนื่องจากเห็นว่าร่างพ.ร.ป.กสม. ได้กำหนดกติกา องค์ประกอบการสรรหาใหม่ ซึ่งก็เป็นไปตามหลักการปารีส ดังนั้นก็ควรที่จะเริ่มกระบวนการสรรหากสม.ใหม่  ไม่ใช่ให้กสม.ชุดปัจจุบันที่มาจากองค์ประกอบเดิมอยู่จนครบวาระ

“ข้อเสนอในประเด็นนี้เราไม่ได้เสนอเพราะมองว่าในองค์กรกสม.มีปัญหาการทำงาน ใครดีไม่ได้ เรามองข้ามไปเลยว่า ในเมื่อเราวางกติกา องค์ประกอบการสรรหาใหม่ ก็ควรที่จะเริ่มดำเนินการสรรหาตามกติกาใหม่เลย ไม่ใช่ต้องรอให้ชุดปัจจุบันอยู่ครบวาระเหมือนอย่างที่กสม.ชุดปัจจุบันท่านเห็น”

ทั้งนี้ 7 ประเด็นตามจดหมายเปิดผนึกประกอบด้วย  1.ในกรณีคุณสมบัติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งขาติ (กสม.)ที่กำหนดไว้ในมาตรา 8 วรรคหนึ่งว่าให้กสม.  7 คนมาจากผู้ประสบการณ์การทำงานใน 5 ด้านนั้น เห็นว่า การกำหนดคุณสมบัติดังกล่าวไม่สอดคล้องหลักการว่าด้วยสถานะและหน้าที่ของสถาบันแห่งชาติเพื่อการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (Paris Principles) และเป็นการขยายความรัฐธรรมนูญมาตรา 246 ที่กำหนดคุณสมบัติผู้เป็นกสม.ไว้เพียงว่า ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องมีความรู้ ประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์เท่านั้น หากจะมีการเพิ่มเติมควรเพิ่ม ให้การสรรหาคำนึงถึงการมีส่วร่วมของหญิงและชาย  เช่นที่เคยบัญญัติไว้ในพ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 2542

2.องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา ควรตัดผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มาจากการเลือกกันเองหนึ่งคนตามร่างมาตรา 11 ( 5)ออก เพราะองค์กรวิชาชีพดังกล่าวมีหน้าที่ตรวจสอบ ควบคุมจรรยาวิชาชีพของแพทย์และสาธารณสุขในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้รับบริการสาธารณสุขเช่นเดียวกับวิชาชีพอื่น  ต่างจากสภาทนายความที่มีหน้าที่ช่วยเหลือทางกฎหมาย แก่ประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิ

3.หน้าที่และอำนาจเสนอเรื่องต่อศาลยุติธรรม ศาลปกครอง หรือศาลรัฐธรรมนูญ  เห็นด้วยที่ตามร่างมาตรา 37กำหนดให้กสม.สามารถร้องทุกข์ หรือกล่าวโทษแทนผู้เสียหายที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะร้องทุกข์ กล่าวโทษได้ด้วยตนเอง โดยให้ถือเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ควรเพิ่มให้มีอำนาจเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีเห็นตามมีผู้ร้องว่าบทบัญญัติกฎหมายใดกระทบสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  และเสนอเรื่องความพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองกรณีเห็นชอบตามผู้ร้องว่า กฎ คำสั่งหรือการกระทำใดทางปกครองกระทบสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

4.ควรกำหนดให้ดุลยพินิจของกสม.ในการที่จะนำรายงานสถานการณ์สิทธิฯ ในประเทศที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง หรือไม่เป็นธรรมขึ้นมาตรวจสอบและชี้แจงหรือจัดทำรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ ไม่ควรบัญญัติแบบตายตัวว่า “ต้องตรวจสอบและชี้แจงหรือจัดทำรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง” ดังร่างมาตรา 44 เพราะเห็นว่ากสม.มีหน้าที่ปกป้องรัฐในเวทีระหว่างประเทศแทนที่จะตรวจสอบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างไร และในแต่ละปีอาจมีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิฯในประเทศไทยมากมายทั้งจากภาครัฐและประชาชน การกำหนดบทบัญญัติดังกล่าวอาจทำให้การทำงานของกสม.ถูกเข้าใจจากสังคมและนานาชาติว่ามีบทบาทเป็นปากเสียงของรัฐบาลไทยมากกว่าการตรวจสอบการละเมิด หรือการละเลยสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่รัฐ  และอาจขัดหลักความเป็นอิสระตามหลักการแห่งกรุงปารีส

5.ควรปรับปรุงเรื่องการเปิดเผยข้อมูลตามร่างมาตรา 46 ซึ่งจะมีบทลงโทษให้ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 จำคุกหากเดือน ปรับหนึ่งหมื่นหรือทั้งจำทั้งปรับ  โดยให้กสม.เป็นผู้กำหนดชั้นความลับของข้อมูลข่าวสารที่ต้องปกปิด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ประชาชนและการปฏิบัติหน้าที่ของกสม. และให้ความรับผิดจำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่ขอองกสม.ที่มีหน้าที่ในการควบคุมข้อมูลข่าวสารเท่านั้น

6.สำนักงานกสม.ควรเป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่เป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล งบประมาณ ไม่ใช่เป็นส่วนราชการเช่นที่กำหนดในร่างมาตรา 47 เพราะจะทำให้สำนักงานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่สนองต่อกรอบอำนาจหน้าที่ของกสม.ที่มีความเป็นอิสระได้

7.บทเฉพาะกาล  เห็นด้วยกับร่างมาตรา 60 ที่ให้ประธานกสม. และกสม. ชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนใช้บังคับแต่ยังคงให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนมีกสม.ที่แต่งตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่  ทั้งนี้เพื่อให้การสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งกสม. เป็นไปตามหลักสากลโดยไม่ชักข้า  ได้กสม.ชุดใหม่ที่มาจากคณะกรรมการสรรหาที่หลากหลาย และมีส่วรี่วมของภาคประชาสังคม ที่เป็นไปตามหลักการแห่งกรุงปารีส สอดคล้องแนวทางสหประชาชาติ