คุก 12 เดือน"เกษม นิมมลรัตน์ " คนสนิท "เจ๊แดง" รวยผิดปกติ

16 มี.ค. 2560 | 10:46 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มี.ค. 2560 | 17:46 น.
คุก 12 เดือน "เกษม นิมมลรัตน์ " คนสนิท "เจ๊แดง" รวยผิดปกติ

- 16 มี.ค.60-  เวลา 14.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายจิรนิติ หะวานนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา. ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวน และ องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน มีคำพิพากษาคดีริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน หมายเลขดำ อม.97/2559 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหา นายเกษม นิมมลรัตน์ อายุ 53 ปีอดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และรองนายก อบจ.เชียงใหม่ ผู้คัดค้าน คนสนิทนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กรณีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 13 พ.ค.59 ว่า นายเกษม จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ รวม 6 กรณี จากกรณีที่พ้นจากตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ในตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่ , กรณีเข้ารับตำแหน่ง –พ้นจากตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปีในตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่ และกรณีเข้ารับตำแหน่ง รองนายก อบจ.เชียงใหม่

โดยแสดงเงินกู้ยืม ของนางดวงสุดา นิมมลรัตน์ คู่สมรส ที่กู้ยืม จากนางบุญทอง สุภารังษี ซึ่งเป็นมารดาของนายเกษม จำนวน 72 ล้านบาทอันเป็นเท็จ และปกปิดเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) (WIN) ในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่า 26,193,205 บาท รวมทั้งปกปิดเงินลงทุนในบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ASCON) มูลค่า 74,205,972 บาท ของนางดวงสุดา คู่สมรส ที่ให้นางบุญทอง มารดา ถือครองแทน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 119 ขอให้ศาลวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งให้นายเกษม พ้นจากตำแหน่งรองนายก อบจ.เชียงใหม่ และห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

ซึ่งวันนี้ นายเกษม นิมมลรัตน์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยภรรยา และทนายเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา

โดยองค์คณะฯ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า กรณีที่ป.ป.ช.ไต่สวนและชี้มูลความผิดนายเกษม กรณีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และยื่นเอกสารประกอบด้วยข้อความปกปิดข้อเท็จจริงที่แจ้งเงินกู้ยืม 72 ล้านบาท ระหว่างมารดาและคู่สมรสเพื่อนำไปซื้อหุ้นอันเป็นเท็จ ซึ่งปกปิดเงินการขายหุ้นบริษัทวินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ WIN ในตลาดหลักทรัพย์มูลค่า 26 ล้านบาทเศษ และปกปิดเงินลงทุนในบริษัทแอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON มูลค่ากว่า 74 ล้านบาท ที่ภรรยาให้มารดาถือครองแทน และพยานบุคคลของคู่ความรวม 5 ปากแล้ว ศาลเห็นว่าเป็นการยื่นบัญชีทั้งที่ไม่มีหนี้สินดังกล่าวอยู่จริง และยังไม่แสดงรายการทรัพย์สินที่เป็นหุ้นและเงินจากการขายหุ้น ถือเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ

องค์คณะฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 เสียง ให้ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติโดยไม่สามารถชี้แจงหรือมีหลักฐานมาแสดงที่มา-ที่ไปของเงินนำมาซื่อทรัพย์สินว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยสุจริต ส่วนที่อ้างว่าเป็นเงินรายได้จากธุรกิจโรงสีข้าว โรงน้ำแข็ง เงินค้าทองคำ หจก.แม่ริม จำกัดฯ ที่เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างนั้น ฟังไม่ขึ้นเพราะบางส่วนผลประกอบการขาดทุน และธุรกิจโรงสีข้าว-โรงน้ำแข็ง ก็ไม่มีรายได้มากขนาดนำมาเสียภาษี

จึงไม่น่าเชื่อผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านทั้งสองจะมีรายได้เพียงพอกับทรัพย์สินนั้น และที่อ้างว่ามีเงินจากการขายกิจการเก็บเป็นเงินสดเกือบ 100 ล้านบาทหากนำมาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายประจำวัน เงินนั้นย่อมลดลง และไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บเงินสดจำนวนมากไว้ในบ้าน โดยไม่ได้รับประโยชน์ดอกผล ข้อต่อสู้จึงไม่น้ำหนักและเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีหลักฐานเอกสารมาชี้แจงละเอียด

นอกจากนี้ศาลยังพิพากษาด้วยมติเอกฉันท์ให้ยึดทรัพย์จำนวน 168 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้าน ไม่สามารถชดใช้เงินจำนวนนี้คืนได้ ก็ให้บังคับเอาทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้าน ให้ตกเป็นของแผ่นดินภายในอายุความ 10 ปี โดยให้คืนทรัพย์สินที่เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน กก 111 เชียงใหม่ มูลค่า 700,000 บาท และหุ้น MSC จำนวน 9,780 หุ้น คืนแก่เจ้าของ

และห้ามไม่ให้นายเกษม ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่ 5 ต.ค.58 ซึ่งเป็นวันที่นายเกษมพ้นจากตำแหน่งสุดท้ายคือ รองนายกอบจ.เชียงใหม่ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.ฯ มาตรา 34 วรรคสอง

และพิพากษาให้จำคุกนายเกษม 6 กระทงๆ ละ 2 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 119 โดยพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เป็นเรื่องร้ายแรง องค์คณะฯ เสียงข้างมากจึงมีมติไม่รอการลงโทษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษา นางดวงสุดา ภรรยาได้โผเข้ากอดให้กำลังใจ ก่อนที่นายเกษม จะถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ข

สำหรับทรัพย์สิน 7 รายการที่ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ประกอบด้วย

1.หุ้น บริษัทแอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (ASCON) ในชื่อของนางบุญทอง มารดา ผู้คัดค้าน ที่ 2 หุ้นบริษัทแอสคอนฯ ในชื่อของนางดวงสุดา คู่สมรส ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ขายไป3 ล้านบาทเศษ

2.หุ้นบริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) (WIN)  ที่เหลือจากการขายในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 1,000,168 หุ้น มูลค่า 390,065 บาท

3.เงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MLINK) ของนางดวงสุดา คู่สมรส ผู้คัดค้านที่ 1จำนวน 4,187,700 หุ้น เป็นเงิน 5,407,163 บาท

4.เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นของนายเกษม ผู้ถูกกล่าว และนางดวงสุดา คู่สมรส ผู้คัดค้านที่ 1 กรณีนายเกษมพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่ รวมมูลค่า 8,585,953 บาท

5.ที่ดินโฉนดเลขที่ 19767 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ เนื้อที่ 25.6 ตารางวา มูลค่า 1.2 ล้านบาท ของนางดวงสุดา คู่สมรส ผู้ตัดค้านที่ 1

6.เงินลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ ที่เพิ่มขึ้นของนายเกษม ผู้ถูกกล่าวหา และนางดวงสุดา คู่สมรส ผู้คัดค้านที่ 1 กรณีนายเกษม พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงใหม่ มาแล้วเป็นเวลา 1 ปี รวมมูลค่า 20 ล้านบาทเศษ

7.เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นของนางดวงสุดา คู่สมรส ผู้คัดค้านที่ 1 กรณีนายเกษม พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. รวม 8 แห่ง มูลค่า 55,141,500 บาท