กรมการปกครอง (ยุค 2017) ถึงเวลาปฏิรูปแล้วหรือยัง?
เมื่อปี 2552 ได้มีคดีใหญ่ที่อื้อฉาวในกรมการปกครอง นั่นคือการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ
โดย ป.ป.ช.ได้ชี้มูลและแจ้งข้อกล่าวหาทางวินัยและอาญาแก่อธิบดีกรมการปกครองกับพวก รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เข้าสอบคัดเลือก จนต่อมาได้มีคำสั่งไล่ออกข้าราชการผู้สอบคัดเลือก จำนวน 119 คน
ต่อมาในปี 2555 มีการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายอำเภออีกครั้ง มีผู้เข้าสอบเกือบ 4,000 คน
หลังสอบเสร็จไม่กี่ชั่วโมง (ผู้สอบยังเดินทางไม่ถึงบ้าน) ก็มีการประกาศผลสอบในคืนนั้นเลย โดยมีการคำนวณให้คะแนนผู้สอบได้เป็นจุดทศนิยมหลายตำแหน่ง ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่จะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงตรวจข้อสอบและคำนวณให้คะแนนโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
การสอบในปี 2555 ดังกล่าว เป็นปีแรกที่กรมการปกครองกำหนดคุณสมบัติให้ข้าราชการ ระดับชำนาญการเพียง 2 ปี ซึ่งรับราชการมาเพียง 6–8 ปี เป็นผู้มีสิทธิสอบคัดเลือกเป็นนายอำเภอ (ประเภทอำนวยการ ระดับต้น) ทั้งๆที่ตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง ของ ก.พ.กำหนดให้ระดับชำนาญการ 4 ปี จึงจะมีสิทธิคัดเลือกเป็นระดับชำนาญการพิเศษ และต้องเป็นระดับชำนาญพิเศษ 3 ปี จึงจะมีสิทธิคัดเลือกเป็น ประเภทอำนวยการ ระดับต้น ได้ จึงเป็นการกำหนดคุณสมบัติเพื่อเอื้อกับข้าราชการบางกลุ่ม ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.กำหนด จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผ่านไปอีก 2 ปี ในปี 2557 ได้มีการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายอำเภออีก กรมการปกครอง พยายามประชาสัมพันธ์ว่าเป็นการสอบที่ไม่มีการทุจริต แต่เมื่อประกาศผลการสอบคัดเลือกมีผู้สอบได้จำนวน 120 คน ปรากฏว่ามีการทักท้วงและร้องเรียน เกี่ยวกับการออกข้อสอบผิดพลาด การเฉลยข้อสอบผิด และให้คะแนนผิดพลาด จนต้องมีการตรวจข้อสอบใหม่อีกครั้ง ทำให้ผู้ที่กรมการปกครองประกาศว่าเป็นผู้ที่สอบได้ในครั้งแรกลำดับที่ 110–120 คน กลับเป็นผู้สอบตก จนได้มีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองในหลายคดี นอกจากนี้ยังมีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองในคดีเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสอบคัดเลือกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย
(การสอบในปี 2557 ได้กำหนดคุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิสอบคัดเลือกเป็นนายอำเภอ เหมือนกันกับปี 2555)
พิรุธตั้งชำนาญการพิเศษ
ปี 2560 (ปี 2017) กรมการปกครองได้มีประกาศ ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2559 เพื่อคัดเลือกข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง ระดับชำนาญการพิเศษ (หรือซี 8 เดิม) จำนวน 820 คน โดยกำหนดทำการสอบคัดเลือกในวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2560 ด้วยข้อสอบปรนัย 100 ข้อ ซึ่งตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษดังกล่าว เป็นตำแหน่งที่สำนักงาน ก.พ.ได้อนุมัติในหลักการกรณีการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายต่างๆของที่ทำการปกครองอำเภอ จากตำแหน่งปลัดอำเภอเจ้าพนักงานปกครอง ระดับชำนาญการเป็นตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง ระดับชำนาญการพิเศษ 989 ตำแหน่ง ตามที่กรมการปกครองร้องขอ
เมื่อได้อัตราของตำแหน่งมา แทนที่กรมการปกครองจะทำการปรับปรุงตำแหน่งให้กับข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ที่เคยเป็นระดับ 7 เดิม ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าฝ่ายตามตำแหน่งที่ขอปรับปรุงกับ ก.พ. และทั่วประเทศมีจำนวนเพียง 680 คน โดยข้าราชการระดับ 7 เดิม ทุกคนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งมีความอาวุโสและมีความเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษได้ แต่กรมการปกครองกลับออกประกาศคัดเลือก ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2559 นำอัตราตำแหน่งที่ได้ ไปแต่งตั้งให้เฉพาะข้าราชการผู้ที่จบหลักสูตรนายอำเภอ ในปี 2555 และปี 2557 ดังกล่าว เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในลักษณะได้ทุกคนและเรียงลำดับตามรุ่นที่จบหลักสูตรนายอำเภอโดยไม่ต้องมีการสอบแข่งขันแต่อย่างใด
ทั้งๆที่การจบหลักสูตรนายอำเภอไม่มีผลผูกพันหรือเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง ระดับชำนาญการพิเศษ (หรือซี 8 เดิม) ส่วนอัตราตำแหน่งที่เหลือ 820 ตำแหน่ง กรมการปกครอง ได้ออกประกาศ ให้ข้าราชการระดับ 7 เดิม ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายทั้งประเทศมาสอบแข่งขัน กับข้าราชการตำแหน่งวิชาการชำนาญการมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ปี ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของระดับ 7 เดิม
ลูกน้องแข่งกับหัวหน้า
เสมือนให้ผู้ใต้บังคับบัญชา มาสอบแข่งกับผู้บังคับบัญชา หรือให้ลูกน้องมาสอบแข่งกับหัวหน้า ซึ่งหากลูกน้องสอบได้และหัวหน้าสอบไม่ได้ ลูกน้องดังกล่าว ก็จะกลับมาเป็นหัวหน้าของหัวหน้าเดิมของตนทันทีโดยอ้างแต่เพียงว่าเป็นข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ระดับเดียวกันเหมือนกัน แต่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นธรรมและความเหมาะสมว่าข้าราชการดังกล่าว ว่าอยู่ในตำแหน่งคนละตำแหน่ง กล่าวคือ อยู่ในตำแหน่งผู้บังคับบัญชา กับผู้ใต้บังคับบัญชา
ความไม่เป็นธรรม
เพื่อให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมและความไม่เหมาะสมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ดังนี้
1.กรณีข้าราชการพลเรือนสามัญ ในส่วนภูมิภาคจะเห็นได้ว่าข้าราชการประเภทอำนวยการ ระดับสูง ตำแหน่งปลัดจังหวัด กับตำแหน่งนายอำเภอ (อำนวยการสูง) เป็นข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง ระดับเดียวกันเหมือนกัน โดยปลัดจังหวัดจะเป็นผู้บังคับบัญชา ของนายอำเภอ (อำนวยการสูง) แต่การขึ้นสู่ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น (ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด) ทำไมจึงมีเพียงปลัดจังหวัดเท่านั้นที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาคัดเลือก
เหตุใดจึงไม่ให้นายอำเภอ (อำนวยการสูง) ซึ่งผ่านการอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งในการเข้าสู่ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น (รองผู้ว่าราชการจังหวัด) ครบถ้วนตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง ที่ ก.พ.กำหนด เข้าสู่ตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งๆที่เป็นข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง ระดับเดียวกันเหมือนกันกับตำแหน่งปลัดจังหวัด
2.ข้าราชการตำรวจ หากพิจารณาระดับยศ ในชั้นโรงพักของสถานีตำรวจภูธร จะพบว่า ระดับยศของตำแหน่งสารวัตร กับตำแหน่งรองผู้กำกับ ในชั้นโรงพัก จะมีระดับยศพันตำรวจโทเหมือนกัน แต่อยู่คนละตำแหน่ง โดยตำแหน่งรองผู้กำกับจะเป็นผู้บังคับบัญชาของตำแหน่งสารวัตร ดังนั้นในการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้น จะมีเพียงระดับยศพันตำรวจโทที่ดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับเท่านั้นที่มีสิทธิในการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจได้
3.ข้าราชการท้องถิ่น กรณีเทศบาลตำบล ตำแหน่งรองปลัดเทศบาล กับหัวหน้าฝ่ายต่างๆของเทศบาล จะมีระดับ 7 เหมือนกัน แต่การเข้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นคือตำแหน่งปลัดเทศบาล ระดับ 8 จะมีเพียงรองปลัดเทศบาลเท่านั้น ที่มีสิทธิในการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งปลัดเทศบาลได้
“ประกาศ”ส่อขัดก.ม.
นอกจากนี้ประกาศ ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ของกรมการปกครองเพื่อคัดเลือกข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง ระดับชำนาญการพิเศษ (หรือซี 8 เดิม) ดังกล่าว ยังเป็นประกาศที่ขัดหรือแย้งและไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 42 (3) ที่กำหนดให้การเลื่อนตำแหน่งของข้าราชการพลเรือน ให้พิจารณาจากผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ ไม่ใช่การสอบข้อเขียนแล้วคัดออกตามประกาศดังกล่าว และเป็นประกาศที่กำหนดหลักเกณฑ์ทีไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการที่ ก.พ.กำหนด ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ที่ นร1006/ว 10 ลงวันที่ 15 กันยายน 2548
การที่กรมการปกครอง ออกประกาศให้มีการสอบคัดเลือกตามประกาศ ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2559ดังกล่าวซึ่งเป็นประกาศไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากจะไม่เป็นธรรมกับข้าราชการระดับ 7 เดิมแล้ว ยังนำมาซึ่งความขมขื่นและเสียขวัญกำลังใจ กับข้าราชการระดับ 7 เดิม ทั่วทั้งประเทศ และยังเป็นการทำลายระบบคุณธรรมของการบริหารงานบุคคล รวมทั้งไม่รักษามาตรฐานในการเสริมสร้างแรงจูงใจ ขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการในการปฏิบัติงานตลอดจนเป็นการทำลายระบบรุ่นพี่ รุ่นน้อง และหลักอาวุโสสิ้นเชิง อันนำมาซึ่งความแตกแยกในองค์กร และอาจมีผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม
ทั้งนี้เชื่อว่าการลาออกปลัดอำเภอ อ.สิเกา จ.ตรัง เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2560ว่า“ชดใช้เวรกรรมให้กรมการปกครองหมดแล้ว”เกี่ยวข้องกับประกาศคัดเลือก ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ที่ให้หัวหน้าไปสอบแข่งกับลูกน้องตัวเองดังกล่าว
จากพฤติการณ์ในการดำเนินการบริหารงานบุคคลที่ไมถูกต้อง เป็นธรรม ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว คงถึงเวลาแล้วที่ท่านนายกรัฐมนตรี ต้องเข้ามาปรับปรุงระบบพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการกรมการปกครองให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นโดยยึดหลักอาวุโส และทำการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลของกรมการปกครอง ดังเช่นเดียวกันกับข้าราชการตำรวจและข้าราชการส่วนท้องถิ่น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,241 วันที่ 5 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2560