วันที่ 10 สิงหาคม 2566 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นำโดยพล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. เปิดแถลงข่าวใหญ่ ผลจับกุม "แก๊งอ้างตัวเป็นเสธฯทหาร" หลอกลงทุน โครงการของมูลนิธิชัยพัฒนาฯ หลังนำกำลังลุยค้นพื้นที่เป้าหมายในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, เชียงใหม่, ลำปาง และสุพรรณบุรี
พล.ต.ต.มนตรี แถลงว่า สามารถจับกุม ผู้ต้องหาได้ 7 คน ประกอบด้วย
ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาฉ้อโกง และฉ้อโกงประชาชน พร้อมของกลางเอกสารโครงการรับเหมาก่อสร้างต่างๆ จำนวน 20 โครงการ สมุดบัญชีธนาคาร 18 เล่ม บัตรเอทีเอ็มจำนวน 3 ใบ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง
พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า เมื่อต้นปี 2564 ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก มูลนิธิชัยพัฒนา ว่ามีกลุ่มบุคคลแอบอ้างมูลนิธิฯ จัดทำโครงการแก้มลิง ในพื้นที่ภาคอีสาน จำนวน 90 โครงการ เพื่อหลอกลวงเงินจากผู้รับเหมารายย่อยและชาวบ้าน ก่อนจะมาทราบภายหลังว่าโครงการดังกล่าวไม่มีอยู่จริง ซึ่งมีผู้ตกเป็นเหยื่อกว่า 20 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1.5 ล้านบาท หลังรับเรื่องจึงจัดกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแสคนร้ายกลุ่มนี้ในทันที
ขณะที่ พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. กล่าวว่า จากการสืบสวนทราบว่ากลุ่มคนร้ายจะอ้างตัวว่าเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ และเป็นตัวแทนจากมูลนิธิฯ กำลังจัดทำโครงการ ขุดลอกหนองน้ำ เพื่อช่วยเหลือประชาชน และกำลังมีนโยบายเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมารายย่อยได้รับงาน
ซึ่งแต่ละโครงการจะมีงบประมาณสนับสนุน เป็นเงินหลัก 100 -1,000 ล้านบาท หากใครสนใจเข้าร่วมโครงการ จะต้องจ่ายเงินค่าซื้อแบบโครงการจากกลุ่มผู้ต้องหา เริ่มต้นที่ราคา 17,500 บาท ไปจนถึง 90,000 บาท ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ และงบประมาณของโครงการที่จะได้รับ
นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มผู้ต้องหามักจะใช้สถานที่ราชการเป็นสถานที่นัดประชุม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งในแต่ละครั้งที่มีการจัดประชุม จะมีคนที่สนใจเข้าร่วมประชุมประมาณ 50–60 คน ที่ผ่านมามีการนัดประชุมมาแล้วประมาณ 4 ครั้ง
อย่างไรก็ตามหลัง จากมีการจ่ายเงินซื้อแบบโครงการ และร่วมทำสัญญาว่าจ้าง(MOU) แล้วนั้น กลุ่มผู้ต้องหาก็จะเริ่มตัดขาดการติดต่อก่อนเชิดเงินทั้งหมดของผู้เสียหายหนีหายไป
ด้าน พ.ต.ท.ภาณุมาศ แสงส่ง รอง ผกก.3 บก.ป. กล่าวว่า จากสวนสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน พบผู้ร่วมกระทำผิดจำนวน 10 ราย มีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มนายหน้าผู้ชักชวน จำนวน 5 ราย คือนายสมชาย หรือผู้กองเป็ด, นายสุริยพันธ์ หรือผู้กองจอร์ท, นายอัครวัฒน์ หรือเสธหนุ่ม, นายประสาร หรือเสธแดง และนายนิพนธ์ ส่วนผู้ต้องหากลุ่มที่สอง ที่ทำหน้าที่เป็นบริษัทหน้าม้า อีกจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายกิตติศักดิ์ สายพรม อายุ 58 ปี, น.ส.เมตตา ขันทอง อายุ 53 ปี, น.ส.วราภรณ์ อายุ 58 ปี นายสมศักดิ์ อายุ 51 ปี นายเลิศพงศ์ ชัยวงค์เลิศ อายุ 60 ปี
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบประวัติทั้งหมด พบ นายประสาร กับ นายสุริยพันธ์ นั้นอดีตเคยรับราชการทหารสังกัดหนึ่งจริง ส่วนที่เหลือเป็นการแอบอ้าง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ และติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา ได้จำนวน 7 รายดังกล่าว คงเหลือเพียง นายกิตติศักดิ์ กับ น.ส.เมตตา ที่ยังอยู่ระหว่างหลบหนี ส่วน นายเลิศพงศ์ นั้นถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำจากการถูกจับในคดีอื่น
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดยังคงให้การปฏิเสธ ส่วนใหญ่ซักทอด อ้างว่าเป็นการทำตามคำสั่งของนายสมชาย หรือผู้กองเป็ด โดยไม่ทราบว่าเป็นการหลอกลวงเงินชาวบ้าน เบื้องต้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับรายชื่อโครงการต่างๆ ที่ตรวจยึดได้จากกลุ่มผู้ต้องหา
จากการตรวจสอบพบว่าโครงการเหล่านี้ เป็นโครงการของหน่วยงานภาครัฐ แต่กลุ่มผู้ต้องหาอาจนำเอาชื่อโครงการดังกล่าวไปแอบอ้างว่าบริษัทของตนได้รับสัมปทาน และนำไปหลอกลวง ประชาชนหรือกลุ่มผู้รับเหมาที่สนใจ