นายวิทยา แก้วมี รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ได้ดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมการบรรเทาอุทกภัยลำน้ำยังและลำน้ำชีตอนล่าง จังหวัดยโสธร จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาของโครงการ ฯ พร้อมทั้งนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมประชุมมาปรับปรุงและเพิ่มเติมในการศึกษาให้มีความครบถ้วนและสมบูรณ์ต่อไป
สำหรับการพัฒนาโครงการนั้น มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและปัญหาการขาดแคลนน้ำควบคู่กันไป โดยการพิจารณาศักยภาพโครงการ การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน และการเข้าถึงแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อบรรเทาการขาดแคลนน้ำทางด้านการเกษตร และด้านอุปโภค บริโภค
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่ประชาชนในพื้นที่ลำน้ำยังและลำน้ำชีตอนล่าง ในจังหวัดยโสธร และจังหวัดร้อยเอ็ด ประสบปัญหาอุทกภัย น้ำท่วมซ้ำซากและน้ำล้นตลิ่ง ผนังกั้นน้ำชำรุด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำริมลำน้ำยัง และบริเวณจุดบรรจบลำน้ำยังและแม่น้ำชี เกิดอุทกภัย จำนวน 7-15 ครั้งในรอบ 16 ปี ส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยของประชาชนได้รับความเสียหาย ขณะที่หน้าแล้งฝนทิ้งช่วง ไม่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สำหรับใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุน
“พื้นที่ศึกษาโครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ลำน้ำยังและพื้นที่ลำน้ำชีตอนล่าง ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด 34 อำเภอ ประกอบด้วย จังหวัดยโยธร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี โดยขั้นตอนการศึกษาจะเริ่มต้นจากการจัดทำโครงการตามแผนหลักเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัย ซึ่งครอบคลุม 8 กลุ่มโครงการ และได้พิจารณาคัดเลือกโครงการที่มีความสำคัญสูงสุด 3 ลำดับแรกที่มีการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกัน”
นายวิทยา กล่าวอีกว่า โครงการที่ศึกษาความเหมาะสมมี 3 โครงการ ได้แก่
อย่างไรก็ดี หากดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทั้ง 3 โครงการนี้ จะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในภาพรวมและช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำด้านการเกษตร และอุปโภค-บริโภค ด้วยความมั่นคงด้านแหล่งน้ำต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกว่า 22 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งในอนาคตจะสามารถพัฒนาพื้นที่รับประโยชน์ใหม่ได้เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มรายได้และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกรในพื้นที่โครงการ
โดยใช้งบประมาณลงทุน 1,825 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 4 ปี (พ.ศ. 2567-2570) เมื่อโครงการดังกล่าวพัฒนาตามแผนจะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในเขตพื้นที่ชุมชน และพื้นที่เกษตรกรรม ประมาณ 56,000 ไร่ คิดเป็นภาพรวมผลประโยชน์เฉลี่ยปีละประมาณ 70 ล้านบาท เพิ่มความมั่นคงด้านแหล่งน้ำต้นทุนให้กับพื้นที่เกษตรกรรมเดิมประมาณ 11,800 ไร่