ทำความรู้จัก ไวรัสนิปาห์ สายพันธุ์ใหม่ระบาดในอินเดีย ยังไม่มีวัคซีนรักษา

10 ก.ย. 2564 | 01:27 น.

รู้จัก ไวรัสนิปาห์ สายพันธุ์ใหม่ระบาดในอินเดีย ยังไม่มีวัคซีนรักษา ติดเชื้อจากสัตว์สู่คน หากติดเชื้ออาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

วันนี้นอกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดแล้ว ทั่วโลกยังเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อไวรัสนิปาร์ (Nipah) หลังจากมีเด็กชายวัย 12 ปีในรัฐเกรละทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ติดเชื้อไวและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้มีความรุนแรงมาก หากติดเชื้อเข้าไปแล้วมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 40- 75% หากระบาดเป็นวงกว้างอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าไวรัสโควิด-19 

ข้อมูลของ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โดย พญ.วรรษมน จันทรเบญจกุล คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้อธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ (Nipah viral diseases) ไว้ ดังนี้

ไวรัสนิปาห์ (Nipah virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิด RNA ในสกุล Henipaviruses วงศ์ Paramyxovidae ซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบเป็นหลัก โดยอยู่สกุลเดียวกับเฮนดราไวรัส (Hendra virus) ซึ่งก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจเป็นหลัก

ข้อมูลสำคัญ

  • ผู้ติดเชื้อไวรัสนิปาห์ มีอาการไข้สมองอักเสบเป็นหลัก โดยอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • การแพร่ระบาดเกิดจากสัตว์สู่คนโดยเฉพาะจากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งจากค้างคาวผลไม้ และจากคนสู่คน
  • การรักษาเป็นแบบประคับประคอง ไม่มีการรักษาจำเพาะ
  • การป้องกัน คือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสนิปาห์ โดยเฉพาะค้างคาวผลไม้ และหลีกเลี่ยงรับประทานผลไม้ที่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อ
  • ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์
  • เป็นโรคติดต่ออันตราย ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งต้องรายงานภายใน 3 ชั่วโมง เมื่อพบผู้ป่วยที่ยืนยันผล

ไวรัส์นิปาห์ ถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศมาเลเซียตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2541 ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรงในสุกรและการติดเชื้อไข้สมองอักเสบในมนุษย์ โดยพบผู้ป่วยทั้งหมด 265 ราย และเสียชีวิต 105 ราย

ในปี พ.ศ. 2542 พบผู้ป่วยที่ประเทศสิงคโปร์ จากการสัมผัสสุกรซึ่งนำเข้าจากมาเลเซีย โดยพบผู้ป่วยจำนวน 11 ราย และเสียชีวิต 1 ราย

ต่อมาพบการระบาดในเมืองสิริกุรี ตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในปีพ.ศ. 2544 โดยมีผู้ป่วยจำนวน 66 ราย เสียชีวิต 45 ราย และมีการระบาดในประเทศบังคลาเทศ ในปี พ.ศ. 2544-2555 โดยมีผู้ป่วย 214 ราย เสียชีวิต 166 ราย 

อย่างไรก็ตาม การระบาดในประเทศอินเดียและบังคลาเทศ เกิดจากการบริโภคน้ำจากผลอินทผลัมที่ปนเปื้อนน้ำลายของค้างคาวผลไม้ และมีการติดต่อการคนสู่คน ไม่เหมือนการระบาดในประเทศมาเลเซียซึ่งเกี่ยวกับการสัมผัสสุกร รวมทั้งมีอาการและอาการแสดงแตกต่างกัน จึงมีการแบ่งเป็นสายพันธุ์มาเลเซีย และสายพันธุ์บังคลาเทศ

และในปี พ.ศ. 2557 มีการระบาดในประเทศฟิลิปปินส์ โดยพบผู้ป่วยจำนวน 17 ราย และพบม้าเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเกิดจากการสัมผัสม้าที่ติดเชื้อ

การระบาดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 ที่เมือง Kozhikode, Malapuram, Wayanda, Kannur รัฐเกรละ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย พบผู้ป่วยรายแรกในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2561

ล่าสุดมีรายงานผู้ติดเชื้อเสียชีวิตแล้ว 12 ราย โดยเป็นพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วย 1 ราย  และมีรายงานพบค้างคาวผลไม้ในบริเวณบ่อน้ำใกล้หมู่บ้าน แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันสาเหตุของการระบาดในครั้งนี้

การติดต่อของโรค

แหล่งรังโรคตามธรรมชาติ คือ ค้างคาวผลไม้ (Pteropus) หรือ เรียกว่า flying fox ซึ่งไม่แสดงอาการป่วยแต่สัตว์ที่สามารถติดเชื้อไวรัสนิปาห์ได้ คือ สุกร สุนัข แพะ แมว ม้า และแกะ ซึ่งถือเป็นแหล่งเพาะโรค

การติดต่อของโรคมาสู่คนเป็นจากการสัมผัส หรือรับประทานวัตถุที่ปนเปื้อนปัสสาวะ อุจจาระ หรือน้ำลายของค้างคาวที่เป็นพาหะ หรือจากสัตว์อื่นที่ติดเชื้อ 

การศึกษาในประเทศไทยโดย ศ.นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา พบเชื้อนิปาห์ไวรัส ร้อยละ 7.8 ในค้างคาวผลไม้จากภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้

ระยะฟักตัวของโรค  ประมาณ 4-60 วัน โดยร้อยละ 90 แสดงอาการภายใน 14 วันหลังได้รับเชื้อ 

ลักษณะอาการทางคลินิก

ผู้ติดเชื้อมักมีอาการทางระบบประสาทเป็นหลัก คือ ไข้ ปวดศีรษะ ตามมาด้วย ซึม สับสน และหมดสติ ภายใน 24-48 ชั่วโมง อาจพบอาการผิดปกติของก้านสมองคือ abnormal doll’s eye reflex และ vasomotor change

นอกจากนี้อาจมีอาการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น myoclonic jerk และอาจพบอาการทาง cerebellar ร่วมด้วย รวมทั้งมีรายงานอาการทางจิตเวช เช่น พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง และซึมเศร้า เป็นต้น

ลักษณะที่สำคัญอีกประการ คือ สามารถกลับเป็นซ้ำ (relapse) หรือเป็นภายหลัง (late-onset) ได้ จากการศึกษาของ Tan และคณะ พบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 7.5 มีอาการกลับเป็นซ้ำหลังจากหายแล้ว และร้อยละ 3.4 ไม่แสดงอาการทางระบบประสาทในการติดเชื้อช่วงแรกแต่มีอาการในภายหลัง

โดยมีรายงานแสดงอาการได้นานถึง 11 ปี หลังจากการติดเชื้อ นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อบางคนมีผลกระทบระยะยาว คือ ลมชัก และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง

นอกจากอาการทางระบบประสาทแล้ว ผู้ติดเชื้ออาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย หรือมีรายงานที่พบเพียงอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างเดียว โดยไม่พบอาการทางระบบประสาทจากการระบาดในประเทศสิงคโปร์

 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสนิปาห์ ทำได้ 2 วิธี คือ

1.การตรวจทาง molecular หาเชื้อด้วยเทคนิค RT-PCR และ Real Time PCR จากตัวอย่างส่งตรวจ ได้แก่ Throat swab หรือ Nasal swab น้ำไขสันหลัง ปัสสาวะ หรือชิ้นเนื้อ โดยแนะนำให้เก็บตัวอย่างส่งตรวจ 2 ชนิดตัวอย่างขึ้นไป

2.การตรวจทาง serology ทั้ง IgM และ IgG ด้วยเทคนิค ELISA หรือ IFA จากเลือด โดย IgM มักจะเริ่มพบผลบวกในวันที่ 3 ของการมีไข้

ส่วน IgG จะพบผลบวกร้อยละ 100 หลังจากการป่วยไปแล้ว 2-3 สัปดาห์ โดยในประเทศไทยสามารถส่งได้ที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

การวินิจฉัย
ผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับไข้สมองอักเสบ และมีประวัติสัมผัสสัตว์ที่สามารถติดเชื้อไวรัสนิปาห์ได้ โดยเฉพาะค้างคาว หรือสัตว์อื่นที่มีอาการทางระบบประสาทหรือระบบทางเดินหายใจ หรือมีประวัติรับประทานผลไม้ที่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อ หรือมีประวัติใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไข้สมองอักเสบ ควรมีการส่งตรวจหาเชื้อไวรัสนิปาห์

โดยในประเทศไทย โรคไวรัสนิปาห์ถือว่า เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ต้องรายงานกรมควบคุมโรคภาย 3 ชั่วโมง หากพบผู้ป่วยที่ยืนยันผล โดยมีนิยามผู้ป่วย ดังนี้

ผู้ป่วยที่สงสัย หมายถึง ผู้ป่วยที่มีไข้ อาจจะสูงหรือต่ำก็ได้ และมีการเปลี่ยนแปลงทางระดับความรู้สึกตัว อาจมีชัก หรือผู้ที่มีไข้และอาเจียน หรือมีอาการแสดงทางระบบทางเดินหายใจ

ผู้ป่วยที่เข้าข่าย หมายถึง ผู้ป่วยที่สงสัยร่วมกับมีข้อมูลทางระบาดวิทยาเชื่อมโยงกับผู้ป่วยที่ยืนยันผล

ผู้ป่วยที่ยืนยันผล หมายถึง ผู้ป่วยที่สงสัยร่วมกับตรวจพบข้อใดข้อหนึ่งดังนี้ ตรวจวิธี ELISA ให้ผลบวก ตรวจวิธี IFA ให้ผลบวก PCR for Nipah virus ให้ผลบวก

การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาจำเพาะ เป็นเพียงการรักษาประคับประคองตามอาการ มีรายงานการใช้ยา Ribavirin ในช่วงการระบาดของประเทศมาเลเซียพบว่า สามารถลดอัตราการตายได้ อย่างไรก็ตาม ต้องมีการศึกษาประสิทธิภาพของยาเพิ่มเติม และเนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้

สิ่งสำคัญสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วย คือ การใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อทั้ง standard, contact และ droplet precautions รวมทั้งการใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม 

การป้องกัน
ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค วิธีป้องกันโรค คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสนิปาห์ โดยเฉพาะค้างคาวผลไม้ หลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ที่มีโอกาสปนเปื้อนน้ำลาย มูลสัตว์ ปัสสาวะของค้างคาวผลไม้ ไม่รับประทานผลไม้ที่ตกอยู่ที่พื้น หรือมีรอยกัดแทะ

ที่มา : สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย