OCEAN เดินเครื่องผลิตสารตั้งต้น “กัญชง-กัญชา”ไตรมาส4มั่นใจ1ปีคืนทุน

30 ส.ค. 2564 | 14:43 น.

บอร์ด OCEAN ไฟเขียวเพิ่มทุนบริษัทย่อย “เค ที ดี เอ็ม” พร้อมนำเข้าเครื่องจักรผลิตสารตั้งต้น “กัญชง-กัญชา” เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริมและยา เตรียมเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/64 คาดหนุนรายได้ปี 65 เพิ่ม100 ล้านบาทเติบโตแบบก้าวกระโดดและคุ้มทุนภายในปีเดียว

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) (OCEAN) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้แตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับกัญชง-กัญชา โดยการลงทุนผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท เค ที ดี เอ็ม จำกัด เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ใช้ประกอบธุรกิจลงทุนเพื่อจัดจำหน่าย ร่วมผลิตสินค้า และว่าจ้างผลิตสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ วัตถุดิบ ประเภทรวมพืชกัญชง หรือกัญชา เพื่อใช้ในการผลิตอาหารเสริม และยา รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับการผลิต

 

ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรพร้อม test run และเริ่มเดินเครื่องผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาทันที โดยก่อนหน้าบริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JP) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความรู้ความชำนาญและมีความสามารถในการผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะร่วมมือกันในเรื่องของ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์สามารถที่จะนำไปใช้ในการผลิตอาหารอาหารเสริม ยา เครื่องดื่ม เป็นต้น

“การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2565 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มปี เพราะเป็นธุรกิจที่อินเทรนด์อยู่ในขณะนี้ ประกอบกับได้ประเมินความต้องการเบื้องต้นพบว่ามีกำลังซื้อสูงมาก และน่าจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่นมาก”

 

สาเหตุที่ทำให้บริษัทฯตัดสินใจเข้ามารุกธุรกิจผลิตสารตั้งต้นกัญชง-กัญชา เพราะเห็นว่าเป็น New Growth ที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากตลาดอาหาร เครื่องดื่ม อาหารเสริม และเวชภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่เกี่ยวข้องกับกัญชงและกัญชา ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ จากประมาณการเบื้องต้นคาดว่าธุรกิจดังกล่าวนี้จะสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทประมาณ 100 ล้านบาท ในปี 2565 และจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี