ตามนับปี แก๊งไนจีเรีย ยัดไอซ์ส่งออกนอก ตำรวจแถลงข่าวใหญ่บุกจับ

25 ส.ค. 2564 | 13:01 น.

ตำรวจ แถลง บุกจับแก๊งไนจีเรีย ซุกประเทศไทย ลักลอบส่งยาไอซ์ 9 กก. เตรียมส่งออกไปฮ่องกง เผยสืบสวนขยายผลเป็นปี ร่วมมือบริษัทขนส่งเอกชน ก่อนลุยค้นจุดเป้าหมาย กทม-สมุทรปราการ 4 จุด จนสามารถเข้าจับกุมได้ในที่สุด

พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. พร้อมด้วย พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3 และ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก.ในฐานะหัวหน้าส่วนปฏิบัติการที่ 1 ศปชก. ร่วมแถลงจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด ได้ผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับจำนวน 2 ราย และกลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติไนจีเรีย ประกอบด้วย

 

1.นายเฮนรี สัญชาติไนจีเรีย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 210/2564 และหมายจับศาลอาญาที่ 567/2560 ในความผิดฐาน “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคนหรือโคเคอีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย) และพบว่านายเฮนรี อยู่ในราชอาณาจักรไทยเกินกว่ากฎหมายกำหนด จึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” โดยอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเกินเวลาตามที่ได้รับอนุญาตเป็นเวลากว่า 1,352 วัน

2.น.ส.วรรณวิสา สัญชาติไทย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 209/2564 ในความผิดฐาน “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน หรือยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน หรือโคเคอีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”

 

3.นายอูโซมา สัญชาติไนจีเรีย สามารถพิสูจน์ยืนยันบุคคลได้ว่าเดิมมีชื่อว่า นายจัสติน สัญชาติไนจีเรีย ต่อมาได้ทำการเปลี่ยนชื่อ-สกุล และหนังสือเดินทางก่อนที่จะเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งนายจัสติน เป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าประเทศเนื่องจากเคยมีประวัติเคยถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาก่อน พฤติการณ์เข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา12 (6) (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้อนุมัติการเพิกถอนวีซ่าของผู้ต้องหารายนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะดำเนินการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทางต่อไป

4.นายอิวูอามาดิฯ สัญชาติไนจีเรีย ถูกจับกุมในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” จากการตรวจค้นห้องพักของนายเฮนรี และน.ส.วรรณวิสา พบยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคอีน หรือโคเคน) น้ำหนักรวมถุงประมาณ 290 กรัม มูลค่าประมาณ 870,000 บาท จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง พร้อมตรวจยึดพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดี อีกจำนวน 16 รายการ อาทิเช่น รถยนต์คันที่ใช้ในการขนส่งยาเสพติด เป็นต้น ซึ่งจะได้ทำการขยายผลเพื่อสืบสวนหาตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

การเข้าจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 63 เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากบริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านราชเทวี ให้ตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยว่าภายในเป็นของผิดกฎหมาย ที่จะทำการส่งออกไปยังเขตบริหารพิเศษฮ่องกง จากการตรวจสอบพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวม 9 กิโลกรัม ซุกซ่อนในกระเป๋าสะพายสตรี จำนวน 18 ใบ จาก 30 ใบ ห่อด้วยแผ่นกันกลิ่น และพันเทปสีน้ำตาลไว้เป็นอย่างดี

 

จึงทำการสืบสวนขยายผลพบว่า ผู้ที่นำของมาส่งเป็นหญิงชาวไทย ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.วรรณวิสา โดยมี นายเฮนรี เป็นผู้ขับขี่รถมาส่งด้วย จึงได้ทำการตรวจสอบรอยลายนิ้วมือแฝงบริเวณห่อบรรจุยาเสพติด ก็พบว่าตรงกันกับลายพิมพ์นิ้วมือของนายเฮนรี่ ที่เคยมีประวัติพัวพันคดียาเสพติด พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ได้ทำการสอบสวนรวบรวมหลักฐานจนกระทั่งขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสอง 

 

จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม นำโดยพ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. ร่วมกับ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. และ พ.ต.อ.ปริญญา กลิ่นเกษรผกก.ตม.จว.สมุทรปราการ นำกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ที่ จ.สมุทรปราการ 3 จุด และกทม.อีก 1 จุด จนสามารถจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาที่กล่าวมาข้างต้นได้ เบื้องต้นสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การภาคเสธ จึงนำส่งตัวให้พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบันพบว่ามีการลักลอบส่งยาเสพติด ในรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยจะมีการซุกซ่อนยาเสพติดในพัสดุรูปแบบต่างๆ และใช้บริษัทขนส่งเอกชนเป็นสื่อกลางที่จะส่งไปยังต่างประเทศ เจ้าหน้าสืบสวนจึงประสานงานกับบริษัทขนส่งเอกชน เฝ้าสืบสวนติดตามเรื่อยมา แต่ก็ยังมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำๆ สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะเกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติ ทางผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการให้มีการป้องกันและปราบปรามกลุ่มผู้ลักลอบส่งยาเสพติดในรูปแบบดังกล่าวอย่างเข้มงวดและจริงจังต่อไปด้วย