ตลาดรถยนต์ไทยตั้งแต่เดือนมกราคม -พฤษภาคม 2568 มียอดจำหน่ายรวม 252,615 คัน ลดลง 3% โดยตลาดรถยนต์นั่ง มียอดขายรวม 98,086 คัน ลดลง 3.4% ขณะที่ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ มียอดขายรวม 154,529 คัน ลดลง 2.7%เมื่อมาดูยอดขายกลุ่มรถกระบะ จะพบว่า ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) มียอดขาย 78,091 คัน ลดลง 14.9% ส่วน ตลาดรถกระบะ Pure Pick up มียอดขาย 62,726 คัน ลดลง 16.9%
ทั้งนี้สามารถตรวจสอบยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศ ตั้งแต่เดือนมกราคม -พฤษภาคม 2568 โดยยี่ห้อใดขายดีสุด ยี่ห้อใดเติบโตสุด และแต่ละยี่ห้อครองส่วนแบ่งการตลาดเท่าไร สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ดังต่อไปนี้
เมื่อมาดูตัวเลขยอดขายในเดือนพฤษภาคม 2568 จะพบว่า มีการเติบโตเล็กน้อย โดยเป็นการฟื้นตัวขึ้นเป็นเดือนที่สองต่อจากเมษายน 2568 โดยพฤษภาคม 2568 ยอดขายตลาดรวมเพิ่มขึ้น 4.7 % หรือจำนวน 52,229 คัน โดยตลาดรถยนต์นั่งมียอดขาย 21,935 คัน เพิ่มขึ้น 17.4% ขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มียอดขาย 30,294 คัน ลดลง 2.9% และรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย14,333 คัน ลดลง 18.8%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการทยอยส่งมอบรถยนต์ที่มีการจองในงานมอเตอร์โชว์ 2025 อีกทั้งยังเป็นช่วงไฮซีซั่นฤดูกาลขาย
ขณะที่แนวโน้มตลาดรถยนต์ในเดือนมิถุนายน 2568 นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ประเมินว่า คาดว่าจะปรับตัวลงจากเดือนพฤษภาคมเล็กน้อย ด้วยยอดขายที่ลดลงตามฤดูกาล และผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ
ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า แม้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะเติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลง เนื่องจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำ รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ประกอบกับการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องความปลอดภัย ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยเกี่ยวกับความกังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ นอกจากนั้นแล้วปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกันซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก