"เศรษฐา ทวีสิน" ปลุกไทย ลดเหลื่อมล้ำ ประกาศ! พร้อมเสีย "ภาษีคนรวย"

30 พ.ย. 2564 | 07:48 น.

บิ๊กอสังหาฯคนดัง "เศรษฐา ทวีสิน" แห่งแสนสิริ ทวิตข้อความ ปลุกไทย แก้ปัญหา ความเหลื่อมล้ำในสังคม ประกาศ พร้อมเป็น 1% ที่จะเสียภาษีคนรวย - ภาษีความมั่งคั่ง หรือ ภาษีมรดก

30 พ.ย.2564 - สร้างกระแสร้อนแรงในสังคมโซเชียลมีเดีย ได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน บิ๊กซีอีโอ อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าสุด นายเศรษฐา ได้ทวิตข้อความในบัญชี @Thavisin กล่าวถึง มาตรการทางภาษี ที่จะเป็นเครื่องมือในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะการผลักดัน ให้รัฐบาล จัดเก็บภาษีมรดก ภาษีคนรวย หรือ ภาษีความมั่งคั่ง จากการที่กลุ่มคนเหล่านี้ใช้ทรัพยากรประเทศเยอะ โดยระบุว่า ...


" ภาษีเป็นหนึ่งในเครื่องมือลดความ เหลื่อมล้ำที่เห็นผลที่สุด ถึงเวลาหรือยัง ที่เราควรเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดินและภาษีความมั่งคั่งจากคนรวย ท่านมีสินทรัพย์มหาศาล เพราะใช้ทรัพยากรประเทศเยอะ เมื่อท่านมีรายได้ ก็ต้องจ่ายภาษี. ..ผมเองก็ถือเป็น 1%คนมั่งคั่งของประเทศและพร้อมจะเสียภาษี "

 

"เศรษฐา ทวีสิน" ปลุกไทย ลดเหลื่อมล้ำ  ประกาศ! พร้อมเสีย "ภาษีคนรวย"

นายเศรษฐา ยังระบุอีกว่า  แม้ประเทศตั้งถูกคำถาม ถึงการนำภาษีมาใช้ไม่เกิดประโยชน์ แต่ ไม่ใช้เหตุผลในการปรับปรุงระบบภาษี หลังจากมีผู้ใช้ทวิตรายอื่น โต้แย้งถกประเด็นต่อ 

 

"คอรัปชั่นกับการจ่ายภาษีคนละประเด็น ต้องแก้กันในต่างบริบทกันไป ไม่ใช่เหตุผลในการไม่ปรับปรุงภาษี"
"เศรษฐา ทวีสิน" ปลุกไทย ลดเหลื่อมล้ำ  ประกาศ! พร้อมเสีย "ภาษีคนรวย"

ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นายเศรษฐา ออกมาปลุกกระแส ให้ไทยเร่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะการออกสื่อหลายต่อหลายครั้งของนายเศรษฐา มีการหยิบยกประเด็นนี้ มานำเสนอและวิพากษ์วิจารณ์ จุดบอดของการพัฒนาประเทศไทย 

 

โดยนายเศรษฐา ระบุ ครั้งเกิดวิกฤติโควิด เศรษฐกิจย้ำแย่ โดยตั้งคำถามผ่านสื่อว่า ...เศรษฐกิจไทยควรเดินต่ออย่างไร โดยไม่ทอดทิ้งใคร

 

หยิบยก ภาพเศรษฐกิจไทย อ้างอิง ธนาคารโลก ซึ่งวิเคราะห์ไว้ว่า วิกฤติโควิดครั้งนี้ทำให้คนจนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 1.5 ล้านคน บิ๊กซีอีโอแสนสิริ ต้องการให้ภาครัฐควรถือโอกาส “ยกการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นวาระแห่งชาติ” โดยมีมุมมองในด้านต่างๆ ดังนี้

 

โดยเฉพาะ การสนับสนุนให้รัฐต้องหาเงินมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือคนที่ได้รับผลกระทบเพิ่มโดยเฉพาะ SME และธุรกิจท่องเที่ยวผ่านการกู้เพิ่ม และเก็บภาษีมรดกคนรวย

"เศรษฐา ทวีสิน" ปลุกไทย ลดเหลื่อมล้ำ  ประกาศ! พร้อมเสีย "ภาษีคนรวย"

นายเศรษฐา ยังเคยกล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้เป็นอุบัติการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ทาง โดยเฉพาะการพังทลายของระบบเศรษฐกิจการค้าที่ยังหาจุดจบไม่ได้ และดูเหมือนทุกคนจะโดนผลกระทบเหมือนๆ กัน ซึ่งหากวิเคราะห์ จากตัวเลขสถิติต่างๆ ให้ดี สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือช่องว่างทางด้าน “ความมั่งคั่ง” ระหว่าง “คนมี” กับ “คนไม่มี”กำลังขยายตัวกว้างขึ้นอย่างน่ากลัวและจะเป็นการปรับฐานสมดุลย์ทางด้านความมั่งคั่งที่ทำให้โอกาสเกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากมาก

 

อย่างไรก็ดี ทุกประเทศมีวิธีแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ผ่านนโยบายอัดเงินเข้าระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การแจกเงินการลดภาษี ผ่อนปรนหนี้ ฯลฯ แต่มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่คำตอบที่ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ หรือช่วยลดช่องว่างทางด้านความมั่งคั่งลงได้

 

ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีการออก American Rescue Plan Act ซึ่งนับเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดยักษ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนรวมทั้งการออกมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจที่เรียกว่า CARES Act มากว่า 2.2 ล้านล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว ผลที่ตามมาและเกิดขึ้นคือกลายเป็นการช่วยทวีคูณความมั่งคั่งให้คนรวย 1% ที่อยู่ด้านบนของปิรามิดประชากรเป็นมูลค่าถึงกว่า 4.8 ล้านล้านเหรียญเลยทีเดียว ในขณะที่คน 80% ที่อยู่ด้านล่างฐานปิรามิดต้องแบ่งความมั่งคั่งมูลค่าแค่ 12,000 ล้านเหรียญเท่านั้น

 

ฐานเศรษฐกิจ เจาะลึก ย้อนไป สำนักข่าว VOA เคยนำเสนอ ข่าว ธนาคารโลกแนะนำให้รัฐบาลไทย พิจารณาปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้ สำหรับผู้ที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อนำไปช่วยชำระหนี้ มูลค่าราว 45,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการรับมือและป้องกันการระบาดของโควิด-19 อันรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านวัคซีนด้วย

 

โดยระบุว่า ประเทศไทยมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์อยู่ถึง 52 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสูงกว่าอิตาลี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ด้วย ขณะที่หลายรายเดินหน้าขยายความมั่งคั่งของตนเพิ่มอีกหลายเท่าในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 อาทิ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 18,100 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลการจัดอันดับประจำปี 2021 ของนิตยสารฟอร์บส

 

ขณะเดียวกัน อัตราภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากประชาชนนั้นยังอยู่ในระดับที่ถือว่าต่ำ แม้แต่ภาษีนิติบุคคลที่จัดเก็บอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว มีเพียงสิงคโปร์และบรูไนเท่านั้นที่มีอัตราภาษีนิติบุคคลที่ต่ำกว่า

 

สำหรับ นายเศรษฐา ทวีสิน เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 อายุ 57 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการเงินจาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)(SIRI)  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ซึ่ง ณ 30 กันยายน 2564 พบ แสนสิริ มีมูลค่าทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 116,413 ล้านบาท  โดยนายเศรษฐา มัก Call Out เกี่ยวข้องทางการเมืองอย่างน่าจับตามอง อีกทั้งล่าสุด เพิ่งเกิดกระแสข่าวลือหนาหู ว่าเป็น 1ในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย