โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทั้งยังเป็นการแสดงที่รวมศิลปะ และวัฒนธรรมของชาติหลายแขนงไว้ด้วยกัน จึงเป็นศาสตร์การแสดงที่มีความสำคัญ โขนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ตั้งแต่ปี 2552
ทั้งองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ “ยูเนสโก” (UNESCO) ยกย่องให้โขน เป็น ‘มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ’ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 โขนนับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยรายการแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก
ความสำเร็จในครั้งนี้ส่วนสำคัญมาจากพระวิสัยทัศน์ใน “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” พระองค์ทรงเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนการแสดงโขน อย่างเอาพระราชหฤทัยใส่ทุกมิติ หลังจากก่อนหน้านี้ โขน ซึ่งแม้จะเป็นความภาคภูมิใจของไทย จะไปต่อไม่ได้เลย เมื่อคนไทยไม่ดูโขน
ครั้งนั้นเมื่อปี 2546 “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ทรงพระปริวิตก ว่าในอนาคต ศิลปะการแสดงจะซบเซาลง ด้วยขาดผู้ผลิตและผู้ชม จึงนำความกราบบังคมทูล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระองค์ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ว่า “ไม่มีใครดูแม่จะดูเอง”
สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนละครขึ้นใหม่ เนื่องจากทรงมีพระราชดำริว่าในปัจจุบันการแสดงโขนถดถอยลงเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องความไม่พิถีพิถัน และไม่ให้รายละเอียดในการปัก การถัก การแต่งหน้า
อีกทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงมีความเก่า ทรุดโทรม พระองค์ทรงอุปถัมภ์และพระราชทานทุนทรัพย์สนับสนุนการศึกษาพัฒนาเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าโขน ให้เหมาะสมกับแบบแผนโบราณ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ฟื้นฟูจัดสร้างเครื่องแต่งกาย ศิราภรณ์ หัวโขน และเครื่องประดับทุกชนิดของโขนขึ้นมาใหม่อย่างสวยงาม รวมถึงการปรับปรุงวิธีการแต่งหน้าโขน โดยให้ศึกษาวิธีการแต่งหน้าโขนที่เปิดหน้าให้สวยงาม เหมาะสมกับการแสดงบนเวทีสมัยใหม่
นอกจากนี้ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้รวบรวมครูผู้เชี่ยวชาญและศิลปินหลายท่าน ศึกษาค้นคว้าศาสตร์และศิลป์ที่เป็นภูมิปัญญาของการจัดแสดงโขน พระราชเสาวนีย์นี้จึงก่อให้เกิดช่างฝีมือรุ่นใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก
อาทิ ช่างทำหัวโขน ช่างทอผ้า ช่างปักสะดึงกรึงไหม ช่างเงิน ช่างทอง ช่างแกะสลัก ช่างเขียน ช่างแต่งหน้าโขน ซึ่งเป็นผู้มีความเข้าใจในศิลปะและจารีตนิยมของโขนอย่างถ่องแท้
ตลอดจนไปถึงงานประติมากรรมและจิตรกรรมไทย ซึ่งงานเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างฉากและอุปกรณ์ประกอบการแสดงทั้งหมด
ทั้งยังพระองค์ยังทรงให้ครูผู้เชี่ยวชาญโขน ฝึกฝนเยาวชนรุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อสืบทอดการแสดงโขนต่อไป และทรงมีพระราชเสาวนีย์ที่นำไปสู่การจัดแสดงโขนหน้าพระที่นั่งตามภูมิภาคต่าง ๆ
เมื่อศิลปกรรมหลากหลายแขนงที่ตั้งใจรังสรรค์ขึ้นนี้ ได้รับการผสมผสานกับเทคนิคการแสดงสมัยใหม่ แสง สี เสียง อย่างลงตัว จึงได้ปรากฏเป็นการแสดงโขนร่วมสมัยที่น่าตื่นตาและสร้างความประทับใจ
จากพระราชปณิธานที่จะทรงฟื้นฟู ส่งเสริม และอนุรักษ์การแสดงโขน ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยเพื่อธำรงรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ดำเนินการจัดการแสดงโขนต่อสาธารณชนขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2550 ด้วยชุด “ศึกอินทรชิต ตอนพรหมาศ” ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
การแสดงที่สร้างความผูกพันอันใกล้ชิดขึ้นในครอบครัวไทย ลูกหลานได้พาปู่ย่าตายายไปชมโขนอย่างเนืองแน่น นับเป็นการแสดงที่ได้รับการสนับสนุนและกระแสตอบรับเป็นอย่างดีมีผู้เข้าชมเต็มทุกที่นั่ง
จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนาม “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ”จากนั้นทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดการแสดงโขนต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา อาทิ ตอนนางลอย ตอนศึกมัยราพณ์ ตอนจองถนน ตอนโมกขศักดิ์ ตอนนาคบาศ ตอนพิเภกสวามิภักดิ์ ตอนสืบมรรคา ตอนสะกดทัพ ตอนกุมภกรรณทดน้ำ และตอนพระจักราวตาร
สำหรับในปี 2568 นี้ จัดแสดงในตอน“สัตยาพาลี” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 พฤศจิกายน - 8 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
การจัดแสดงแต่ละครั้งต้องเตรียมความพร้อมหลายด้าน รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่สิ่งที่คณะกรรมการและผู้ทำงานทุกฝ่ายยึดถือเป็นขวัญกำลังใจคือพระราชดำรัสเกี่ยวกับการอนุรักษ์ศิลปะว่า “ขาดทุนของฉันคือกำไรของแผ่นดิน”
ทั้งนับเป็นความโชคดีของคนไทยและประเทศไทย ในปี 2562 “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ”ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการแสดงโขนอย่างเอาพระทัยใส่ทุกมิติ เพื่อสืบทอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติให้มีผู้สืบทอดต่อไป
‘โขนสัตยาพาลี’ มีการจัดแสดงจำนวนถึง 10 ฉาก จับตอนตั้งแต่ทศกัณฐ์แปลงกายเป็นปูยักษ์หวังทำลายพิธีโสกันต์องคตกุมาร แต่ก็ต้องพ่ายให้กับพาลีผู้ได้พรจากพระอิศวรให้มาปราบ
ต่อเนื่องสู่เหตุการณ์ควาย “ทรพี” ผู้ปราบพ่อของตัวเอง “ทรพา” ถูกพาลีปราบในถ้ำ และเป็นเหตุให้พาลีกับสุครีพน้องชายเข้าใจผิดกัน สุครีพจึงไปพึ่งพระรามและร่วมต่อสู้จนพาลีต้องยอมมรณภาพและฝากฝังบ้านเมืองไว้กับพระราม(อวตารของพระนารายณ์)
เรื่องราวดำเนินต่อด้วยทศกัณฐ์ให้นางมณโฑหุงน้ำทิพย์เพื่อชุบชีวิตพลยักษ์ แต่พระรามส่งหนุมานและเหล่าวานรไปทำลายพิธีได้สำเร็จ ก่อนที่กองทัพอธรรมจะพ่ายแพ้และทศกัณฐ์ต้องถอยทัพ
โขน “สัตยาพาลี” ได้ถอดฉากรบต่างๆ มาจากท่วงท่าในจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ เริ่มจากเนรมิตรปูยักษ์ซึ่งเป็นทศกัณฐ์แปลงกายมา โดยปูยักย์ตัวนี้ได้ซ่อนกลไกลที่สามารถขยับก้ามได้อย่างเหมือนจริง
รวมทั้งใช้สลิงมาทำให้ “พาลี” สามารถตีลังกา ฉีกขา สู้รบกลางอากาศได้เหมือนถอดมาจากฉากจิตรกรรมฝาผนัง เรื่องรามเกียรติ์ มาสู่การแสดงที่สมจริง ฉากตอนที่ทศกัณฐ์ทรงช้างแทนราชรถก็มีการสร้างช้างที่วิจิตร
เช่นเดียวกับกระบวนท่ารบระหว่างลิงกับยักษ์ก็มีการถอดแบบมาจากกระบวนท่ารบในจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์
นอกจากนี้ในส่วนของเพลงยังมีการนำเพลง เสมอผี มาใช้เป็นครั้งแรกในฉากที่ทศกัณฑ์ต้องร่ายมนตร์คืนชีพเหล่ายักษ์ เราได้เรียนรู้เรื่องราวของพญาพาลีวานรผู้เป็นกษัตริย์แห่ง เมืองขีดขิน ซึ่งเสียคำสัตย์เพราะความหลงผิด
แต่ภายหลังระลึกได้จึงสำนึกและยอมรับโทษ ชี้ให้เห็นคุณของความกตัญญูและโทษของความไม่รักษาสัตย์ และกล่าวถึงหน้าที่ของแต่ละบุคคลที่ต้องตั้งใจปฏิบัติงานด้วยความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและผู้มีพระคุณ
การต่อสู้ของทศกัณฐ์และพระราม (อวตารของพระนารายณ์) ย้ำให้มั่นใจว่าผู้มีจิตใจชั่วร้ายแม้จะมีอิทธิฤทธิ์มากมายปานใด ก็ไม่สามารถดำรงตนไปได้นาน ฝ่ายผู้ยึดมั่นในธรรมะ แม้จะเผชิญอุปสรรคใดๆ ก็จะชนะฝ่ายอธรรมเสมอ
การแสดงโขนในครั้งนี้ ยังมีนักแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ รุ่นเยาว์ ตัวเล็กที่สุด และอายุน้อยที่สุด 5 ขวบ ร่วมแสดงบนเวทีแห่งนี้ด้วยในบท องคตกุมาร เจ้าชายตัวน้อย เรียกรอยยิ้มจากทุกคนอีกด้วย
จากมรดกวัฒนธรรมไทยที่รวมศิลปะหลายแขนงไว้ด้วยกัน การแสดงของนักแสดงมากฝีมือ จัดเต็มแสง สี เสียง ตระการตา ฉากและชุดงามวิจิตร รวมถึงหลายฉากสุดว๊าว ดีเกินคาด เปลี่ยนมุมมองการชมการแสดงโขนของเราไปเลย และรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจในโขนไทยอย่างแท้จริง
มาร่วมชมโขนพระราชทาน สืบสานพระราชปณิธาน “สมเด็จพระพันปีหลวง” เพื่อสืบทอดและธำรงนาฏศิลป์อันทรงคุณค่าของชาติให้คงอยู่คู่สังคมไทยสืบไป ราคาบัตรเริ่มต้นตั้งแต่ 600 - 2,000 บาท (รอบนักเรียนราคา 200 บาท) เข้าไปซื้อบัตร คลิ๊ก ตั้งแต่วันนี้ถึง 8 ธันวาคมนี้