เราปักหมุดกันที่ "เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น" เพื่อสัมผัสประสบการณ์ดินเนอร์ "Jurassic World : The Experience - Fossil & Flame” ลิ้มรสความอร่อยกับรสชาติอาหารระดับพรีเมียม ผสมผสานความตื่นเต้นของโลกไดโนเสาร์แห่งโลกดึกดำบรรพ์
บอกเลยว่าปังมากๆ โดนใจแฟนๆ จูราสสิค และคนชอบสไตล์อาหารในแบบยูนีค ซึ่งมื้อดินเนอร์ จะเปิดบริการตั้งแต่เวลา 17.00 – 24.00 น.
แค่ขึ้นลิฟท์ไปห้องอาหารก็ว๊าวไปแล้วหนึ่งดอก เพราะเมื่อเข้ามายืนอยู่ด้านในลิฟต์ เราสัมผัสได้ถึงฟิลลิ่งที่เหมือนพาเราหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง พอถึงห้องอาหารจะมีเหล่าแร็พเตอร์ ยืนต้อนรับตั้งแต่หน้าประตู การตกแต่งของ Fossil & Flame Restaurant
ทั้งการตกแต่งยังใส่ใจตั้งแต่รายละเอียดเล็กน้อย อย่าง เซ็นเซอร์ เปิดปิด ประตู ก็เป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ ห้องน้ำที่โถสุขภัณฑ์ของเด็กออกแบบเป็นไข่ไดโนเสาร์ บรรยากาศเหมือนหลุดไปอยู่ในป่า
ฟิลลิ่งภายในห้องอาหารโดดเด่นด้วยการตกแต่งใน แนวปาร์ค ให้บรรยากาศแบบสวนที่เน้นความ ร่มรื่น มีที่นั่งมากกว่า 100 ที่นั่งได้
เราเลือกที่นั่งฝั่งที่หันหน้ามองออกไปเห็นวิวฝั่งชิงช้าสวรรค์ หรือ Asiatique Sky ตอนกลางคืนวิวสวยมาก หรือ ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัว ที่นี่ก้มีห้องไพรเวท สำหรับ 12 คน และ 16 คนไว้บริการด้วย
จุดเด่นของห้องอาหารแห่งนี้ จะเน้นการเสิร์ฟอาหารสไตล์อเมริกัน-แม็กซิกันคลาสสิก ผสมผสานกับความเป็นไทย อาหารรสชาติดี เพราะมีเชฟมืออาชีพจากโรงแรม มาช่วยดูแลและคุมคุณภาพอาหาร หลายคนต้องแปลกใจ เพราะจากเดิมที่อาจจะคิดว่าร้านอาหารสไตล์นี้ในธีมปาร์ค อาจจะไม่ได้อร่อยมากนัก
แต่เมื่อได้ลองทานที่นี่แล้ว คุณภาพอาหาร คือ ดีเยี่ยม อาหารหน้าตาดี แถมในแต่ละเมนูยังมีลูกเล่น ทำให้มื้ออาหารนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ มีความแปลกและไม่เหมือนใคร
ซิกเนเจอร์เมนูของ Fossil & Flame แนะนำ “Tree Top Nacho Tower” แป้งตอติญญ่า กรอบๆ 3 ชั้น สลับไปมากับ Salsa, Avocado, Pulled Pork ตกแต่งด้วย Rocket กับชีสด้านบน เสิร์ฟพร้อม Jalapeno Cheese Sauce ก่อนทานคลุกทุกอย่างให้เข้ากัน กรอบอร่อยทั้งยังได้ความสดชื่นในคำเดียว
ใครเป็นสายเนื้อ ต้องลอง “Cheese Burger” เมนูขายดี โอโห! เบอร์เกอร์อันใหญ่กับเนื้อบด ปรุงรสด้วยซอสบาร์บีคิว และมันฝรั่งทอดคลุกผงเคจุน เสิร์ฟมาวางไว้ด้านบนของถาดที่เต็มไปด้วยชีสลาวา ให้เราได้ทานคู่กันในแบบฟินๆ
อีกเมนู คือ “48 Hr Slow Smoked Bbq Short Rib” เนื้อซี่โครงวัวที่ใช้เวลาทำนานถึง 48 ชั่วโมง ด้านนอกมีความเกรียม แต่ด้านในนุ่มละลายในปาก ทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่ว และ ซอสพริกไทยดำ
หรือเป็นสายทะเล เมนูปลา อย่าง “Baked Sea Bass” ที่นี่ก็น่าทึ่ง เขาเสิร์ฟปลากระพงทั้งตัว อบด้วยเครื่องแกง ต่างจากร้านอื่นๆที่จะอบด้วยเกลือ ทำให้ได้รสสัมผัสเครื่องแกง เผ็ดกลางๆ เข้ากันดีกับเนื้อปลารสหวาน ซึ่งด้านบนตัวปลายังโรยขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ แม้ปลาจะมาทั้งตัว แต่ทานง่าย เพราะทางร้านเลาะก้างออกให้แล้ว
หรือแม้แต่เมนูกุ้ง ก็พรีเซนต์เก๋ๆด้วยการนำกุ้งย่างมาห้อย ให้เราได้รูดทาน
สำหรับคอหมู เมนู " Crispy Pork Knuckle" ขาหมูทอดกรอบๆอร่อยเลย
หรือจะเป็น "RACK OF BONES" ซี่โครงหมูบาร์บีคิว รสสัมผัสชุ่มฉ่ำ
ถึงเวลาของหวานที่ไม่ธรรมดาเลย เมนู “The Dig Site” คุกกี้รูปไดโนเสาร์ข้างบนจะโรยด้วยช็อกโกแลตชนิดจัดเต็มกล่องไม้ ที่มาพร้อม แปรง และช้อนตัก ไว้ให้เราสวมบทบาทนักโบราณคดี ปัดเศษฟอสซิล หาไดโนเสาร์กัน อร่อยดี รสชาติช็อกโกแลตเข้มข้น คล้ายบราวนี่
ใครชอบความว๊าว นี่เลย “Flaming Volcano Baked Alaska” ของหวานที่ถูกตกแต่งมาให้เหมือนภูเขาไฟกำลังระเบิด ตัวฐานเป็นเมอแรงก์ สีขาวที่นำไปเบิร์นเพื่อให้เกิดสี ด้านบนราดด้วย ราสเบอร์รี่ซอส ตัวครอบด้านนอกเป็นวานิลลา และภายในมีไอศกรีมรสวนิวา ช็อกโกแลต ราสเบอร์รี่ ความพิเศษคือ ก่อนเสิร์ฟจะมีการจุดไฟ โดยใช้เหล้ารัม เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนภูเขาไฟกำลังปะทุ งานนี้ต้องถ่ายคลิปเก็บไว้เลย
หรือจะเป็นกิมมิกน่ารักๆอย่างเมนู "ช็อกโกแลต เอ้ก" ที่เราต้องทุบ เพื่อลิ้มลองความหวานที่ซ่อนอยู่ข้างใน เข้ากันดีกับช็อตโกแลตกรุบกรอบรสชาติดี
ดริ้งของห้องอาหารก็เลิศ ทั้งสวย มี ให้เลือกหลาย ' Dinosour” รสชาติเปรี้ยวหวาน จากส่วนผสมของ เมลอน, แตงกวา, และมะนาว แต่งหน้าแก้วให้เป็นเหมือนรอยข่วนของไดโนเสาร์
กินดื่มที่นี่ ยกมงให้เลย สมแล้วกับความเป็น ยูนีค ไดนิ่ง เอ็กซ์พีเรียน ที่สักครั้งต้องมาลิ้มลอง