กทม.จัดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประเดิมกิจกรรมแรก 20-22 ส.ค.นี้

19 ส.ค. 2567 | 08:49 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ส.ค. 2567 | 09:40 น.

กทม.เคิกออฟ โครงการ "กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน”ประเดิมกิจกรรมแรกวันที่ 20-22 ส.ค.นี้ที่ไปรสนียาคาร ย่านปากคลองตลาด

กรุงเทพมหานคร เตรียมจัดกิจกรรม Kick Off  โครงการ "กทม. กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน” ในวันที่ 20 – 22 ส.ค. 67 ณ บริเวณโดยรอบไปรสนียาคาร ย่านปากคลองตลาด ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และ บริเวณวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เชื่อมไปย่านกุฎีจีน

 

สำหรับกิจกรรมภายในงาน "กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน”  ประกอบด้วย 

  1. การจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์กรุงเทพมหานคร สินค้าชุมชน ของดีเขต อาหารอร่อยในพื้นที่ 
  2. สินค้าเกษตร FARMER MARKET / แจกเมล็ดพันธุ์/ การปลูกผักในเมือง 
  3. สินค้าราคาถูกจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และสินค้าจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการโรงงาน 
  4. ฝึกอาชีพ กิจกรรม Workshop สร้างรายได้ 
  5. การออกบูธหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น สำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานคร ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เป็นต้น 
  6. การแสดงบนเวที เด็ก เยาวชน วงดนตรี จากนั้นจะหมุนเวียนจัดงานกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ ครบทั้ง 6 กลุ่มเขตต่อไป

 "กทม. กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน”

 

อนึ่งโครงการ"กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน”เกิดขึ้นจากรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง Low Season ที่จะช่วยให้ผู้ค้าและประชาชนมีรายจ่ายที่น้อยลงและรายได้ที่มากขึ้น ดังนั้นกทม.จึงตอบสนองนโยบายของรัฐบาลพร้อมดำเนินการทันที
 

สำหรับกรุงเทพมหานครมี 4 หน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับมิติทางเศรษฐกิจ คือ สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต สำนักงานตลาด สำนักงานสถานธนานุบาล และสำนักพัฒนาสังคม ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนโครงการตามนโยบายฯ

ทั้งนี้ ในภาพรวมทางเศรฐกิจ มี 3 เรื่องที่กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญ ประกอบไปด้วย

  1. การลดรายจ่าย ทั้งการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การลดค่าเช่าแผงค้าในตลาด การสร้างความยั่งยืนทางอาหาร เช่น สวนผักคนเมือง และ BKK Food Bank 
  2. การเพิ่มรายได้ สิ่งที่ กทม. มีอำนาจและทำได้ทันทีคือการเปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าภายในสำนักงานเขต และเทศกาลต่าง ๆ ที่ กทม. จัดขึ้น การเปิด Hawker Center รวมถึงการพัฒนาย่านสร้างสรรค์ 
  3. การสร้างอาชีพ ซึ่งสำนักพัฒนาสังคมมีกลุ่มงานที่ดูแลเรื่องการฝึกอาชีพ อาทิ โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร ศูนย์ฝึกอาชีพสำนักงานเขต ที่จะช่วยสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับประชาชน

 
 

นายแสนยากร อุ่นมีศรี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสังคม กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร โดยสำนักพัฒนาสังคมร่วมกับสำนักงานเขต 50 เขต จัดงานกระตุ้นเศรษฐกิจ จำหน่ายสินค้า ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 67 – 31 ต.ค. 67 พร้อมเชื่อมย่านสร้างสรรค์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วกรุงเทพมหานคร โดยการจัดงานแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

1. สำนักงานเขตทุกเขตเปิดพื้นที่ให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก และผู้ประกอบการชุมชน จำหน่ายสินค้าภายในสำนักงานเขต เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเกิดรายได้ และประชาชนได้ลดรายจ่ายในการซื้อสินค้าราคาถูก

 

2. สำนักพัฒนาสังคมร่วมกับ 6 กลุ่มเขต กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ผู้ประกอบการภาคีเครือข่าย จัดงานจำหน่ายสินค้า ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กลุ่มเขตละ 2 ครั้งต่อเดือน จำนวน 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 67 – 31 ต.ค. 67

 


นายศรชัย โตวานิชกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำนักงานตลาดกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ BMA Market Grand Sale พร้อมแคมเปญ “ลด แลก แจก แถม” คือ

  •  “ลด” หมายถึง ลดค่าเช่าแผงค้าให้กับผู้ค้าที่มีสัญญา 50% จำนวน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 67 – 31 ธ.ค. 67 
  • แลก” หมายถึง ผู้ค้าจะมีบัตรสะสมแต้ม เพื่อมาแลกของพรีเมี่ยมที่ทำการตลาด 
  • “แจก” หมายถึง ผู้ซื้อได้รับคูปองจากสำนักงานตลาด เพื่อลุ้นโชค ณ ตลาดที่เข้าร่วมแคมเปญ และลุ้นรับรางวัลใหญ่ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ณ ตลาดนัดจตุจักร 
  • “แถม” หมายถึง ผู้ซื้อที่ซื้อสินค้าในตลาดครบ 500 บาท กับแผงค้าที่ร่วมแคมเปญ สามารถรับของแถมที่ตลาดจัดไว้ 

พร้อมกับจัดกิจกรรมอีกมากมาย ณ 8 ตลาดของกรุงเทพมหานคร คือ ตลาดนัดจตุจักร ตลาดนัดมีนบุรี ตลาดธนบุรี ตลาดประชานิเวศน์1 ตลาดเทวราช ตลาดหนองจอก ตลาดบางกะปิ ตลาดพระเครื่องวงเวียนเล็ก

 

นายชนาธิป ล.วีระพรรค ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร จัด “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือประชาชน” โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำ เหลือเพียงร้อยละ 0.05 บาทต่อเดือน เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท โดยจำกัดวงเงินรับจำนำไม่เกิน 100,000 บาท ต่อ 1 ราย บุคคลและต่อสถานธนานุบาล 1 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 67 – 31 ต.ค. 67