หากมีโอกาสไปเยือนออสเตรีย นอกเหนือจากกรุงเวียนนาแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างเมือง MELK ซึ่งเดินทางด้วยรถยนต์ราว 1.15 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว เมืองนี้มีความสำคัญที่ทำให้เกิดประเทศออสเตรีย แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่เป็นศูนย์กลางของภาษา วรรณคดีและจิตวิญญาณ เพราะเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ ลัทธิเบเนดิกติน นิกายโรมันคาทอลิก
แต่ละวันจึงมีแขกต่างบ้านต่างเมืองแวะมาเยือนไม่ขาด ซึ่งจะเห็นวิหารของ Melk Abbey ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือแม่นํ้าดานูบ เด่นตระหง่านแต่ไกล รูปทรงอาคารถือเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมสร้างในสไตล์บาโรก ที่งดงามสีเหลืองโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ สีประจำพระองค์ที่พระนางมาเรีย เทเรซา ทรงโปรด ซึ่งมีอายุกว่าพันปี
ตามประวัติเล่าว่าจากทำ เลที่เป็นชะง่อนผา ทำให้ ลีโอโปลที่ 1 Leoplold แห่งตระกูล บารเบนเบิร์ก เลือกสร้างปราสาทเพื่อใช้เป็นที่พำนัก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 976 ต่อมาปี ค.ศ. 1089 ลีโอโปลที่ 2 ได้ยกปราสาทแห่งนี้ให้กับบาทหลวงนิกาย เบเนดิกติน จาก แอบบี แลมบาค ตั้งแต่นั้นสถานที่นี้ก็กลายเป็นที่พักอาศัยและทำงานของนักบวช
กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 12 มีการเปิดสอนศาสนา เอกสารสำคัญทางศาสนามากมายจึงเกิดขึ้นและห้องสมุดก็ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นยุคกลาง และกลายเป็นแหล่งสะสมหนังสือ รวมทั้งงานสะสมต้นฉบับดนตรีที่มีชื่อเสียง
นักท่องเที่ยวที่มาจะได้ชมส่วนที่เรียกว่า Imperial Chambers มีจำนวน 11 ห้อง แต่ละห้องบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของวิหาร กระทั่งแง่คิดของชีวิต เช่นห้องแรกที่จะว่า ด้วยการได้ยิน สดับตรับฟังด้วยหัวใจ จากนั้นเป็นการสะท้อนถึงเรื่องราวของชีวิตที่อยู่ในโลกซึ่งจะเจอทั้งสุข-เศร้าและหนีไม่พ้นความตาย รวมถึงเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ของบาทหลวงชั้นผู้ใหญ่ที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ดูลํ้าค่า หาชมได้ยาก และยังมีเอกสารสำคัญทางศาสนา อย่าง “The Rule of St. Benedict” ของพระสงฆ์นิกาย เบเนดิกติน
นอกจากนี้ยังมีผลงานจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรงดงาม หีบสมบัติเก่าแก่ มีรหัสกุญแจถึง 19 ดอก ปัจจุบันยังใช้การได้ดี อีกทั้งภาพวาดที่ไกด์เล่าว่าเพราะคนสมัยก่อนอ่านหนังสือไม่ออก เลยใช้การสอนผ่านภาพ จากนั้นยังมีห้องโถงขนาดใหญ่ Marble Hall ที่ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยง มีภาพเขียนสีเฟรสโกบนเพดานที่น่าชมมาก
การชมแต่ละห้องมีประตูปิดเปิดเฉพาะ ต้องใช้กุญแจไขทีละห้อง ผ่านมาถึงระเบียงขนาดใหญ่ จะเป็นมุมที่เห็นแม่นํ้าดานูบและบ้านเรือน ที่สวยมากจากนั้นจะเข้าสู่ห้องหนังสือใหญ่โตโอ่อ่า ประณีต บรรจง มีหนังสือสะสมนับแสนเล่ม
กระทั่งมาสิ้นสุดที่โบสถ์ ที่สร้างอย่างวิจิตรตระการตา เหลืองอร่ามไปด้วยทอง ประดับประดาตามจุดต่างๆ เพราะสถาปนิกที่ออกแบบเคยออก แบบโรงละครโอเปร่ามาก่อน และที่นี่ยังเคยใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ดังเรื่อง The Name of Rose นำแสดงโดย ณอน คอนเนอรี่ ซึ่งได้รับรางวัลหลายสาขามาแล้ว
ความงดงามและศักดิ์ สิทธิ์ของที่นี่สะกดให้ผู้มาเยือนแทบไม่อยากเอ่ยคำลากันเลยทีเดียว!!
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,323 วันที่ 17 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560