การที่ “พี่ตูน บอดี้สแลม” หรือนายอาทิวราห์ คงมาลัย ออกมาวิ่งระดมทุนให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ ถึงวันนี้พี่น้องชาวไทยร่วมบริจาคทะลุ 700 ล้านบาทแล้ว ถือเป็นความสำเร็จของโครงการ “ก้าว...คนละก้าว” แต่ก็สะท้อนความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขไทย ที่ได้รับงบประมาณน้อยกว่างบความมั่นคงและการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพโดยไม่รู้ว่าจะเอาไปรบกับใครในสมัยนี้
ความล้มเหลวอีกประการของระบบสาธารณสุขไทยคือสถิติการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2541 หรือเกือบ 20 ปีแล้ว แต่รัฐบาลไทยก็ยังไม่ใส่ใจเท่ากับปัญหาการเมืองเรื่องเลือกตั้ง เรื่องใครจะมาเป็นรัฐบาลใหม่ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขไทยก็ไม่คิดจะหาวิธีเอาชนะโรคมะเร็งอย่างจริงๆ จังๆ ปล่อยให้คนไทยเสียชีวิตกับโรคนี้เฉลี่ยปีละ 67,000 คน เหมือนกับเป็นชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก้าวไปไกลเกินกว่าจะนึกถึง
ตัวอย่างของการเอาชนะมะเร็งด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่คือการได้ไปเยือน “โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กวางโจว สแตมฟอร์ด” ที่เมืองกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสครบรอบ 12 ปีของการดำเนินงานโรงพยาบาลแห่งนี้ที่ก่อตั้งเมื่อ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2005 ในรูปของการร่วมทุนระหว่างจีนกับสิงคโปร์ โดยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI สหรัฐอเมริกา
แม้จะมีบริการผสมผสานทั้ง อายุรกรรม ศัลยกรรม สูตินารี แต่ที่โดดเด่นคือการรักษามะเร็ง และเป็นการรักษาพร้อมการป้องกันในตัว คือการปลูกถ่ายเซลล์เพิ่มภูมิคุ้มกัน ปกติจะผ่าตัด คีโม ฉายแสง แต่ที่นี่เพิ่มการรักษาแบบบาดแผลเล็ก คีโมเฉพาะจุด การฝังแร่ไอโอดีน 125 ขนาดเท่าเมล็ดข้าวที่ก้อนมะเร็ง
การใช้มีดนาโน (Nano- Knife) เทคโนโลยีหลอมละลายด้วยความร้อนและความเย็น ใช้กระแสคลื่นไฟฟ้าขนาด 1,000-3,000 โวลต์เจาะไปที่ก้อนมะเร็ง ผลดีคือใช้ระยะเวลาน้อย ฆ่ามะเร็ง ได้แบบถึงรากถึงโคน เส้นเลือดไม่ถูกทำลาย อวัยวะไม่ได้รับผลกระทบและเซลล์ดีกลับมาได้
การผสมผสานระหว่างแพทย์แผนจีนกับตะวันตกด้วยเครื่องมือทันสมัย การรักษาร่างกายประกอบกับการบำบัดจิตใจ ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ติดอันดับ TOP 10 โรงพยาบาลของประเทศจีน ซึ่งมีผู้ป่วยทั้งชาวจีนและอีกหลายประเทศเดินทางมาใช้บริการ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการอีก 8 ภาษา นอกจากภาษาจีนคือ เวียดนาม อินโดนีเซีย อังกฤษ มาเลเซีย อาหรับ กัมพูชา ฝรั่งเศส และไทย
สำหรับผู้ป่วยจากไทยนั้น ผู้บริหารของโรงพยาบาลเปิดเผยว่ามีคนไทยเดินทางไปรักษาเฉลี่ยเดือนละ 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นมะเร็งระยะกลางและระยะสุดท้าย อาทิ มะเร็งปอด เต้านม ตับ ลำไส้ รวมแล้วมีคนไทยไปใช้บริการแล้วกว่า 1,000 คน หากรวมทุกประเทศมีมากกว่า 50,000 คน การรักษาแต่ละวิธีมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
คุณหมอของโรงพยาบาลให้ความรู้ด้วยว่า สาเหตุของมะเร็งมีหลายปัจจัย ไม่ชัดเจนว่าจริงๆ แล้วเกิดจากอะไร บางคนเป็นเพราะไวรัส คนที่เป็นมะเร็งปอดส่วนใหญ่เพราะบุหรี่ อีกส่วนคือกรรมพันธุ์ ความเครียดก็สามารถก่อให้เกิดมะเร็ง พฤติกรรมการบริโภคก็เป็นสาเหตุใหญ่ในปัจจุบัน แต่ที่สำคัญคือการใช้ชีวิตประจำวัน ปัจจุบันคนเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นแต่อัตราการเสียชีวิตลดลง เพราะมีวิธีการรักษามากขึ้น ยารักษาได้รับการพัฒนา สถิติการเป็นมะเร็งระยะต้นเสียชีวิตน้อยลง
โรคมะเร็งนั้นป้องกันได้จากการใช้ชีวิต หากตรวจพบแต่เนิ่นๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้หากรักษาถูกวิธี
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,323 วันที่ 17 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560