ข้อมูล SCB EIC Health & Wellness survey 2023 ระบุว่า ธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงามมีโอกาสเติบโตสูงจากกระแสนิยมของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ LGBTQIA+ และคนที่ทำศัลยกรรมส่วนใหญ่ทำมากกว่า 1 ประเภท และในปีที่ผ่านมาธุรกิจศัลยกรรมเสริมความงามของไทยขยายตัว 2.3-3.6% ส่งผลให้ตลาดมีมูลค่ารวมราว 7.1-7.2 หมื่นล้านบาท ถือเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ตลาดคลินิกศัลยกรรมความงามไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง
พญ.ณัศรัตน์ กุลเกียรติประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดีจีที จำกัด ผู้บริหาร “EMMA CLINIC” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันธุรกิจศัลยกรรมความงามในไทยและต่างประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าทางการตลาด โดยภาพรวมประเทศไทยเป็น 1 ในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงาม (Medical Tourism) ด้วยราคาที่ถูกและบริการที่ดี สามารถดึงดูดลูกค้าต่างชาติได้ ไม่ว่าจะเป็น จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย
จากภาพรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ตลาดธุรกิจศัลยกรรมความงามของประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความนิยมผ่านโซเชียลมีเดีย ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจทำศัลยกรรม กลุ่มลูกค้าหลักจะอยู่ในช่วงอายุ 18-35 ปี และการศัลยกรรมที่นิยมคือ การทำจมูก, ตาสองชั้น, ฉีดฟิลเลอร์ และการเสริมความงามที่ไม่ต้องผ่าตัด (Minimally Invasive Procedures) เช่น การทำ Ulthera และการใช้เลเซอร์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมเนื่องจากมีความรวดเร็วและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น
“ปัจจุบันคลินิกต่างๆ มีแนวโน้มการลงทุนในเครื่องมือและเทคโนโลยีมากขึ้น เน้นให้บริการแบบครบวงจร (one-stop service) ตั้งแต่การให้คำปรึกษา ดูแลหลังการผ่าตัด ไปจนถึงติดตามผลเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เช่นเดียวกับเอมม่าคลินิกที่เน้นการศัลยกรรมตกแต่ง เช่น จมูก, คาง, ตาสองชั้น, หน้าอก, และปากกระจับ โดยมีกลุ่มลูกค้าคนไทยอยู่ในสัดส่วนประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ส่วนใหญ่มาจากจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศในตะวันออกกลาง”
พญ.ณัศรัตน์ กล่าวว่า เอมม่าคลินิก เป็นคลินิกศัลยกรรมที่มีมากกว่า 10 สาขา อยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ, ชลบุรี, พระราม 2, อโศก, ลาดพร้าว, รังสิต, พิษณุโลก, ขอนแก่น และกำลังจะเปิดสาขาใหม่คือ พระราม 9 โคราช และภูเก็ต โดยมีจุดแข็งด้านความหลากหลายของบริการ ทั้งคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมทีมแพทย์และบุคลากรที่มีประสบการณ์ ตลอดจนบริการหลังการขายและการดูแลลูกค้า
ขณะเดียวกันเอมม่าคลินิกก็กำลังขยายสาขาเพิ่มไปทั่วประเทศด้วยงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขาใหม่ เช่าและการปรับปรุงพื้นที่ ตกแต่งภายใน ลงทุนในอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง
ด้าน นายแพทย์วีรกานต์ สถิตนิรามัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic Surgeon) EMMA CLINIC กล่าวว่า แนวโน้มความเข้าใจศัลยกรรมตกแต่งในยุคดิจิทัลเปิดกว้างและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายมาก ทำให้ตลาดศัลยกรรมตกแต่งในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง ในกลุ่มคนอายุ 25-45 ปี ระดับ B ขึ้นไป นิยมเสริมความงาม เสริมจมูก หน้าอกเพิ่มขึ้น นอกจากผู้หญิงผู้ชายก็เริ่มทำศัลยกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะเทรนด์การเสริมจมูก คาดว่าในปี 2568 การทำศัลยกรรมจะมีอัตราส่วนเพิ่มสูงขึ้น และกลุ่มลูกค้าที่ศัลยกรรมจะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติก็จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นด้วย