เปิด 10 ข้อแนะนำก่อนแข่งวิ่ง หลังปี 65 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน 11 ราย

07 มิ.ย. 2566 | 03:10 น.

เปิด 10 ข้อแนะนำก่อนแข่งวิ่ง หลังปี 65 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน 11 ราย ชี้ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับแรก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อควรปรึกษาแพทย์ก่อนลงแข่งขันทุกครั้ง

นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดีช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่การวิ่งมาราธอนที่ขาดการเตรียมตัวหรือหักโหมเกินไปในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง จะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเกิดภาวะวิกฤตได้ ข้อแนะนำก่อนการลงแข่งขันสำหรับนักวิ่ง ได้แก่ 

  • เตรียมพร้อม ฝึกฝนร่างกายให้เพียงพอกับระยะทางการลงแข่งขัน 
  • ไม่ลงแข่งขันวิ่งระยะทางไกลในช่วงเวลาที่ติดต่อกันมากเกินไป 
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม 
  • ไม่ควรรับประทานยาที่มีฤทธิ์กดการเต้นของหัวใจทั้งก่อนวิ่งและขณะวิ่ง  
  • นักวิ่งที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนลงแข่งขันทุกครั้ง  
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันวิ่ง  
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี  
  • ให้ข้อมูลสุขภาพที่เป็นจริง เพื่อประโยชน์กับทีมแพทย์ในการเตรียมความพร้อมให้การดูแล และเฝ้าระวังเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์  
  • ตรวจสอบอุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ และค่าฝุ่น PM2.5 ล่วงหน้าก่อนถึงวันแข่งขันจริง เพื่อเตรียมพร้อมร่างกาย วางแผนการดื่มน้ำระหว่างวิ่งให้เหมาะสม  
  • หากมีอาการแน่นหน้าอกหรือหน้ามืด ควรหยุดพักและแจ้งหน่วยแพทย์ในงานวิ่งทันที

นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กล่าวว่า การวิ่งครั้งละ 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วนลงพุง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง เป็นต้น

เปิด 10 ข้อแนะนำก่อนแข่งวิ่ง หลังปี 65 หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน 11 ราย

นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ลดเสี่ยงอัลไซเมอร์ ช่วยให้อารมณ์ดี และที่สำคัญนอนหลับได้ดีขึ้น  จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนหันมาออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์เพื่อสุขภาพที่ดี การวิ่งที่ดี คือไม่วิ่ง ระยะทางไกลมากเกินไป ไม่วิ่งเร็วเกินไป ไม่วิ่งติดต่อกันจนเกินไป ควรเว้นวันพักผ่อนให้เหมาะสมกับระยะทาง    และต้องวิ่งอย่างปลอดภัยโดยการเตรียมความพร้อมก่อนลงแข่งขัน 

นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันการออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย จากการดำเนินงานเฝ้าระวังของกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กรณีภาวะวิกฤตหัวใจและหลอดเลือด ฮีทสโตรก หรือการเสียชีวิตขณะวิ่งในงานวิ่ง โดยในปี 2565 จากการจัดงานวิ่ง 832 งาน พบเหตุการณ์หมดสติในงานวิ่งจำนวน 24 ราย เสียชีวิต 1 ราย 

พบหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันถึง 11 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 50-59 ปี โดย 23 รายที่หมดสติรวมถึงผู้เสียชีวิตเป็นนักวิ่ง นักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ระยะทางขณะวิ่งที่เกิดเหตุการณ์มากที่สุดคือ ระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย (Quarter 4) และส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองมีโรคประจำตัว หรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้วแต่ขาดการรักษาทานยาไม่ต่อเนื่อง 
 

สาเหตุที่ทำให้นักวิ่งหมดสติหรือเสียชีวิต ได้แก่ 

  1. การเร่งทำลายสถิติตนเอง  
  2. ดื่มน้ำไม่เพียงพอ  
  3. รับประทานยาที่มีฤทธิ์กดการเต้นของหัวใจ  
  4. การฝึกฝนที่ไม่เพียงพอต่อระยะทางที่ลงแข่งขัน  
  5. ความถี่ของการลงแข่งขันที่บ่อยและหักโหมเกินไป

"นักวิ่งต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับแรก และสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดรูปแบบการวิ่ง ให้เหมาะสมกับตนเอง"