16 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ "ภาวะลองโควิด" (Long Covid)

27 ม.ค. 2567 | 20:15 น.

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผย 16 ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิด (Long Covid) โดยผลการศึกษาชี้ชัด ลองโควิด มีความรุนแรงกว่าโรคหัวใจและโรคมะเร็งทั้งยังไม่มียารักษา หนทางเดียวที่จะป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ คือ ต้องไม่ติดเชื้อโควิด-19

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เผยแพร่ข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊ค Center for Medical Genomics  ชี้ให้เห็นถึง ภาวะลองโควิด (Long Covid) 16 เรื่องที่น่าสนใจที่เราควรรู้ซึ่งเป็นการอัปเดตผลการศึกษาสำคัญ กลไกของการเกิดโรครวมถึงแนวทางการลดผลกระทบจากภาวะลองโควิด ซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้

เป็นครั้งแรกของสหรัฐที่ได้มีการนำเสนอข้อมูลภาวะลองโควิดอย่างจริงจังต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา (คาปิตอลฮิลล์) ที่ดำเนินการสร้างกฎหมายและตัดสินใจเกี่ยวกับการเมืองและนโยบายของประเทศจัดขึ้นโดยคณะกรรมการด้านสุขภาพ การศึกษา แรงงาน และบำนาญของวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา

ดำเนินการโดยวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยของลองโควิด โดยมีคำให้การจากผู้ป่วยและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคลองโควิด โดยมุ่งเน้นที่การปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยลองโควิดและการลงทุนในด้านการวิจัยขั้นสูงเกี่ยวกับโรคนี้

ดร.ซิยาด อัล-อาลี นักระบาดวิทยาทางคลินิกเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญนำเสนอข้อมูลลองโควิดต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐที่อาคารรัฐสภา สรุปว่า

ลองโควิด รุนแรงกว่าโรคหัวใจและโรคมะเร็ง

มหาภัยลองโควิด รุนแรงกว่าโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ยังไม่มียารักษา วิธีการป้องกันไม่ติดเชื้อโควิด-19 บ่อยครั้ง คือ หนทางเดียวที่ป้องกันการเกิดโรคลองโควิด "จะไม่เกิดลองโควิด หากไม่ติดเชื้อโควิด-19"

ในการนำเสนอครั้งนี้มีทั้งผู้ป่วยลองโควิด แพทย์แนวหน้าและนักวิจัยจำนวนมากเข้าร่วมให้ความรู้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และทำความเข้าใจกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับโรคลองโควิดแก่บรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนสหรัฐไปพร้อมกัน

การศึกษาล่าสุดพบว่า อาการลองโควิดทำให้เกิดภาระโรคภัยที่สูงกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง โดยมีการวิเคราะห์พบว่า ลองโควิด สร้างภาระของความพิการมากกว่าโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง

นักวิจัยพบว่า ภาวะลองโควิดส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพเกิน 80 ปีที่เทียบกับคุณภาพชีวิตหรือ DALYs ต่อกลุ่มประชากร 1,000 คนที่ไม่เคยเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อในครั้งแรก

นอกจากนี้ยังมีการประเมินว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะสูญเสียสุขภาพไป 21% ในขณะที่มีอาการลองโควิด การศึกษายังพบว่า ผู้ที่เป็นลองโควิดอาจมีความพิการทางกายและจิตใจอย่างรุนแรง

ขณะนี้มีชาวอเมริกันเป็นลองโควิดแล้วกว่า 20 ล้านคน และกว่า 4 ล้านคนที่ไม่สามารถทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่หน้าได้ ดังนั้น ลองโควิดจึงมีผลกระทบที่สำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และภาครัฐต้องให้ความสนใจอย่างมาก

วิธีป้องกันลองโควิดที่ดีที่สุด คือ ป้องกันการติดเชื้อโควิดตั้งแต่แรก เพราะยังไม่มียารักษา "ไม่มีใครเป็นลองโควิดหากไม่ติดเชื้อโควิด-19"

16 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ \"ภาวะลองโควิด\" (Long Covid)

ชื่ออย่างเป็นทางการของภาวะลองโควิดในสหรัฐอเมริกา คือ "ภาวะหลังโควิด" (Post-COVID Conditions; PCC) ตามที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) โดยมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น long-haul COVID, post-acute COVID-19, long-term effects of COVID, Chronic COVID และ post-acute sequelae of SARS-CoV-2 infection; PASC) เป็นต้น

"อาการลองโควิด"

เป็นสภาวะที่ซับซ้อน มีผลกระทบต่อหลายอวัยวะและนำไปสู่อาการทางระบบประสาทและการรับรู้ เช่น ความจำเสื่อม และความบกพร่องทางสติปัญญา นอกจากนี้ยังอาจกระตุ้นปัญหาสุขภาพอื่น เช่น เบาหวานหรือโรคไต โดยรวมแล้ว ลองโควิดเป็นสภาวะที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ.

ภาวะลองโควิดทำให้ร่างกายอ่อนแอลงหลังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) พบมากกว่า 10% ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และพบมากกว่า 200 อาการ ส่งผลต่ออวัยวะหลายระบบ ทั่วโลกมีผู้ป่วยอาการลองโควิดประมาณ 65 ล้านคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ทบทวนวรรณกรรม ค้นคว้า รวบรวม ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และนำมาประมวลเรียบเรียงเป็น 16 หัวข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับภาวะลองโควิด

1.ความหมายและขอบเขตกลุ่มอาการลองโควิด:

อาการลองโควิดหรือที่รู้จักกันในชื่อ ผลระยะยาวของโควิด-19 (post-acute sequelae of COVID-19: PASC) มีลักษณะอาการที่หลากหลายซึ่งคงอยู่หลังจากการติดเชื้อโควิด-19 อย่างเฉียบพลันซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ

2.ความชุกและผลกระทบ:

ลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างน้อย 65 ล้านคนทั่วโลก จากการบันทึกข้อมูลทางคลินิกที่ถูกบันทึกไว้จากผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 651 ล้านคน พบอัตราการอุบัติการณ์โดยประมาณที่ 10% ซึ่งส่งผลกระทบด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

3.ความสัมพันธ์ระหว่างอายุและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล:

กลุ่มอาการลองโควิดพบมากในช่วงอายุระหว่าง 36 - 50 ปี เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างรวมกันอันรวมถึงอัตราการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ความรับผิดชอบในการประกอบอาชีพ กิจกรรมทางสังคม และลักษณะการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับอายุบางประการ

พบว่า 10-30% ของผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในโรงพยาบาล และ 50-70% ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะมีอาการป่วยเป็นลองโควิด

4. ความซับซ้อนและความรุนแรงของกลุ่มอาการลองโควิด:

กลุ่มคนที่พบอาการลองโควิดมีรายงานอาการที่หลากหลายในระบบอวัยวะต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำให้การดูแลรักษามีความซับซ้อน

5.เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด

อาการลองโควิดมีความเชื่อมโยงกับสภาวะอาการที่พบใหม่หลายอาการ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวานประเภท 2 และภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) โดยเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงระบบที่กว้างขวาง

6.หาสาเหตุเพื่อตั้งสมมุติฐานการเกิดโรค:

มีการพูดคุยถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ต่าง ๆ เช่น รังโรคของไวรัส การควบคุมภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ และการเปลี่ยนแปลงของจำนวนและชนิดของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่ซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการลองโควิด

7.ข้อมูลเชิงลึกด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและไวรัสวิทยา:

การศึกษาวิจัยเชิงลึกเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการตอบสนองทั้งทางภูมิคุ้มกันและไวรัสวิทยา รวมถึงความอ่อนล้าของทีเซลล์ ระดับไซโตไคน์ที่เพิ่มขึ้นและการเกิดขึ้นของแอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง แสดงให้เห็นผลกระทบที่ซับซ้อนและยาวนานต่อระบบภูมิคุ้มกัน

นอกจากนี้การค้นพบทางไวรัสวิทยายังเน้นย้ำถึงบทบาทของการติดเชื้อแฝงอยู่ในร่างกาย (viral persistence) และกลายพันธุ์ของไวรัสที่ส่งผลต่อพยาธิวิทยาการเกิดอาการลองโควิด

8.ความเสียหายของอวัยวะและปัญหาทางระบบของร่างกาย:

อาการลองโควิดนำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะในวงกว้าง รวมถึงหัวใจ ปอด และสมอง เกิดปัญหาต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การเกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ทำให้เกิดปัญหาซับซ้อนในระบบโลหิตของร่างกาย

9.ผลกระทบของระบบประสาทและการรับรู้:

อาการลองโควิดส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการรับรู้ โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการสูญเสียความทรงจำ ความบกพร่องทางสติปัญญา และการรบกวนทางประสาทสัมผัส ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตประจำวัน

10. ME/CFS, Dysautonomia และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับอาการลองโควิด:

สังเกตพบความคล้ายคลึงกันระหว่างอาการปวดกล้ามเนื้ออันมีสาเหตุมาจากสมองและไขสันหลังอักเสบ (myalgic encephalomyelitis, ME) และอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS), ภาวะระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ (Dysautonimia) กับอาการลองโควิด เช่น กลุ่มอาการหัวใจเต้นเร็วระหว่างเปลี่ยนท่า (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome: POTS) หรือกลุ่มอาการการกระตุ้นเซลล์แมสต์ (mast cell activation syndrome) อันเป็นภาวะที่เซลล์แมสต์ปล่อยสารเคมีมากเกินไป ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ มากมาย รวมถึงอาการแพ้ต่าง ๆ

เซลล์เหล่านี้สามารถถูกกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น การติดเชื้อ ยา ความเครียด และอาหาร ทำให้มีความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคที่ควรครอบคลุมประวัติทางคลินิก การตรวจร่างกาย และการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยเฉพาะ โดยทั่วไปการรักษาจะใช้ยา เช่น ยาแก้แพ้และยาเพิ่มความเสถียรของเซลล์แมสต์

11.ผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์:

ลองโควิดส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ ส่งผลให้ประจำเดือนเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อการทำงานของรังไข่และลูกอัณฑะ บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการวิจัยและการดูแลเฉพาะทาง

12.ผลกระทบต่อเด็ก:

เด็กได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากอาการลองโควิดโดยมีอาการและความเสี่ยงด้านสุขภาพที่รุนแรงคล้ายผู้ใหญ่ กระตุ้นให้มีการวิจัยแบบกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์การดูแลสุขภาพสำหรับกลุ่มเปราะบางนี้

16 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ \"ภาวะลองโควิด\" (Long Covid)

13.ระยะเวลาการดำเนินของโรคและภาวะลุกลามของอาการ:

การเริ่มมีอาการ(onset):

  • ช่วงเวลานี้อาจมีตั้งแต่หลายวันจนถึงหลายสัปดาห์หลังการติดเชื้อ

ระยะเวลาการดำเนินของโรค (duration):

  • ระยะเวลาที่แต่ละบุคคลประสบกับอาการลองโควิดมีความผันแปรสูง บางคนอาการค่อย ๆ ดีขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หรือยาวเป็นเดือน ในขณะที่บางคนอาจมีอาการต่อเนื่องนานหลายเดือนหรือนานกว่าหนึ่งปี

การลุกลาม(progression) :

  • บางคนมีอาการลองโควิดคงที่ บางคนเป็น ๆ หาย ๆ บางรายอาจมีอาการดีขึ้นในระยะ ๆ ตามด้วยการกำเริบของโรค (มักเรียกว่ารูปแบบ "รถไฟเหาะตีลังกา") และบางคนอาจสังเกตเห็นการอาการค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

14.เครื่องมือวินิจฉัยและการรักษา:

การพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัยและกลยุทธ์การรักษาเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาที่ได้รับการตรวจสอบ มีประสิทธิผล และเครื่องมือวินิจฉัยที่ครอบคลุม

15.ผลกระทบของวัคซีน สายพันธุ์ของโควิด-19 และการติดเชื้อซ้ำ:

การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับผลกระทบของวัคซีน, SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่าง ๆ และการติดเชื้อซ้ำต่ออุบัติการณ์และการลุกลามของอาการลองโควิด อาทิ

-หลายการศึกษาแนะนำว่า วัคซีนให้การป้องกันอาการลองโควิดได้ในระดับหนึ่ง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการลองโควิดได้ 15% ถึง 41% แม้จะป้องกันอาการลองโควิดได้บางส่วน แต่เรายังพบลองโควิดส่งผลกระทบต่อผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 9%

-สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ตั้งข้อสังเกตว่า โรคลองโควิดนั้น แพร่หลายน้อยกว่า 50% ในผู้ที่ฉีดวัคซีนสองครั้งและต่อมาติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ ดั้งเดิม BA.1 (breakthrough infection) เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนสามครั้ง

-พบอาการลองโควิดในผู้ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 มากกว่า BA.1 โดยทั้งหมดได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม ผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.2 พัฒนาเป็นลองโควิดถึง 9.3% เป็นต้น

16. ความท้าทายและข้อเสนอแนะ:

ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกต้องร่วมสนับสนุนการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยทางคลินิกอย่างเข้มแข็งเพื่อจัดการกับปัญหาด้านสาธารณสุขที่กำลังเกิดขึ้นนี้จากปัญหาลองโควิด

ข้อมูล/ภาพ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ Center for Medical Genomics