ตะลึง!คนอเมริกันเกือบครึ่งโกหกเรื่องโควิด19 ของตนเอง เพราะอะไร ดูเลย

17 ต.ค. 2565 | 00:15 น.

ตะลึง!คนอเมริกันเกือบครึ่งโกหกเรื่องโควิด19 ของตนเอง เพราะอะไร ดูเลยที่นี่มีคำตอบ หมอเฉลิมชัยเผยงานวิจัยจากกลุ่มนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา

โควิด19 ยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก แม้แต่ประเทศไทยที่ถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนเป็นโรคที่ติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา

 

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

ไม่น่าเชื่อ !! เกือบครึ่งหนึ่งของคนอเมริกัน โกหกหรือไม่พูดความจริงเรื่องโควิด-19 ของตนเอง

 

เราคงเคยได้ยินการพูดคุยกันถึงเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 ว่า บางคนที่สงสัยว่าตนเองจะติดโควิด แต่ไม่ยอมตรวจ เพราะกลัวว่าจะติดจริงๆ
หรือตรวจว่าติดโควิดแล้ว แต่ไม่มีอาการ ก็เลยไปทำงานโดยไม่กักตัว และไม่ยอมบอกคนที่ทำงาน

 

จนกระทั่งติดโควิดมีอาการเล็กน้อย แต่ก็ยังไปร่วมงานในสถานที่สาธารณะหรือเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะที่มีคนแออัด

 

ทุกคนเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้มีอยู่จริง แต่ที่น่าสนใจคือ มีคนที่ทำตัวลักษณะแบบนี้อยู่มากน้อยเพียงใด

 

อย่างน้อยในวันนี้ เรามีคำตอบจากการศึกษาของคนอเมริกัน ซึ่งได้มีรายงานการศึกษาในประเด็นว่า คนอเมริกันพูดความจริงมากน้อยแค่ไหนเกี่ยวกับเรื่องโควิด-19

 

โดยกลุ่มนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนนำมาเผยแพร่ใน JAMA Network Open และมี Dr.F.Perry Wilson ของ Yale School of Medicine นำมาคอมเม้นต์ด้วย

โดยรายงานการศึกษาดังกล่าวเป็นการสำรวจสอบถามทางออนไลน์จำนวน 2260 คน ในช่วงวันที่ 8-23 ธันวาคม 2564 ได้รับความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามเบื้องต้น 1811 คน หรือ 80.1%

 

และเมื่อข้อมูลสรุปสุดท้าย จะอยู่ที่ 1733 คน โดยมีอายุเฉลี่ย 41 ปี เป็นผู้หญิง 66% และเป็นคนผิวขาว 66.4%

 

โดยประเด็นของการสอบถามนั้น เพื่อพิสูจน์ความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องคำตอบ ว่ามีความจริงมากน้อยเพียงใด ต่อคำถามทำนองว่า

 

ท่านเคยติด "โควิด" แต่ไม่ได้บอกคนที่อยู่ใกล้ชิดบ้างหรือไม่ ?

 

ท่านเคยบอกคนอื่นๆว่า ท่านมีวินัยป้องกันตัวเองจากโควิดในระดับมากกว่าสิ่งที่ท่านปฏิบัติจริง หรือไม่ ?

 

คนอเมริกันเกือบครึ่งโกหกเรื่องโควิด19 ของตนเอง

ท่านเคยบอกว่าตัวเองฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ฉีดจริงหรือไม่ ?

 

ท่านพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมทดสอบการหาโรคโควิด ไม่ว่าจะเป็นเอทีเคหรือพีซีอาร์ ทั้งที่ตัวท่านเองก็คิดว่าอาจจะเป็นโควิดบ้างหรือไม่ ?

 

หมอเฉลิมชัย บอกอีกว่า การศึกษาดังกล่าวนี้ ทำให้ได้ความจริงในกลุ่มคนดังกล่าวว่า

 

คนอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่งหรือ 41.6% ไม่ยอมพูดความจริงคือโกหก หรือไม่ยอมให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับโควิดที่ตนเองประสบอยู่ อย่างน้อยในประเด็นใดประเด็นหนึ่งใน 9 ประเด็น

 

โดยกลุ่มอาสาสมัครนั้น

 

  • 1/3 (477 คน) เคยติดโควิดแล้ว
  • 1/3 (499 คน) ยังไม่ได้ติดโควิด แต่ฉีดวัคซีนแล้ว
  • 1/3 (509 คน) ยังไม่ได้ติดโควิด และยังไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย

ในผู้ที่ไม่พูดความจริงหรือไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นจริง ประกอบด้วย

 

20% ของคนที่ติดโควิด ไม่ได้บอกกับคนที่ตนเองจะต้องไปพบปะใกล้ชิดว่าตนเองติดโควิด

 

20% ของคนที่ติดโควิด ไม่ได้แจ้งให้ผู้รับผิดชอบในสถานที่สาธารณะที่ตนเองออกไปได้รับทราบ

 

20% ของคนที่ติดโควิด ไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ เวลาไปพบบุคลากรทางสาธารณสุข

 

ที่น่าแปลกใจคือ 15% ของคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว โกหกว่าตนเองยังไม่ได้ฉีดวัคซีน

 

17% ของคนที่ควรกักตัว โกหกว่าตนเองไม่ได้มีความจำเป็นต้องกักตัว

 

และมีอีกจำนวนพอสมควรที่ละเมิดกฎเกณฑ์การกักตัว ในระหว่างที่ตนเองต้องกักตัว

 

หลังจากที่ได้ข้อมูลที่น่าสนใจดังกล่าว ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาหาปัจจัยสำคัญว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่จะมีผลทำให้คนโกหกมากเป็นพิเศษ เช่น เพศ ระดับการศึกษา เชื้อชาติ ความคิดเห็นทางการเมือง แหล่งข้อมูลที่ตนเองได้รับเกี่ยวกับเรื่องโควิด  ตลอดจนความเชื่อทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิดว่าไม่มีอยู่จริง

 

ผลคือ พบว่าปัจจัยต่างๆดังกล่าว ไม่เกี่ยวข้องกับการที่คนคนนั้น จะโกหกหรือพูดความจริง

 

พบเพียงปัจจัยเดียวที่มีผลทำให้คนพูดความจริงก็คือ การที่มีวัยสูงอายุ  กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่อายุน้อย จะมีเปอร์เซ็นต์ของการพูดเท็จหรือโกหกเรื่องโควิดสูงมากกว่าคนที่มีอายุมาก

 

ทั้งนี้คาดว่า น่าจะเป็นจากผู้สูงอายุจะมีความจริงจังเกี่ยวกับโรคโควิด ตลอดจนมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากกว่า

 

หมอเฉลิมชัย บอกอีกว่า จากการพยายามวิเคราะห์หาเหตุผลต่อไปว่า ในกลุ่มที่พูดไม่จริงหรือโกหกนั้น มีเหตุผลอะไรบ้าง
พบว่า

 

  • 50% ของคนที่โกหก บอกว่าตนเองปรารถนาจะใช้ชีวิตตามปกติ
  • 30% บอกว่า ตนไม่เชื่อว่ามีโควิดจริง
  • 45% บอกว่าเป็นเสรีภาพของตนเองที่จะพูดความจริงหรือไม่พูดความจริงก็ได้
  • 40% บอกว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคนอื่น

 

รายงานการศึกษาดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกามีความวิตกกังวลว่า ประสิทธิผลของมาตรการต่างๆตามที่สาธารณสุขประกาศหรือแนะนำให้พลเมืองของตนเองร่วมมือกันเพื่อควบคุมไม่ให้โควิดระบาดนั้น

 

จะมีประสิทธิผลหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะมีผู้ที่ไม่พูดความจริงหรือโกหกในประเด็นต่างๆ

 

สำหรับประเทศไทยเรา ไม่ทราบว่าจำนวนคนที่ไม่พูดความจริงมีมากหรือน้อยกว่าคนอเมริกัน ถ้ามีการทำวิจัยออกมา ก็คงจะเป็นรายงานที่น่าสนใจมากทีเดียว