เพราะอะไรหลังโควิด หนุ่มสาวอเมริกันหันมาทำงานจากบ้าน (WFH) เพิ่มขึ้นมาก

24 พ.ค. 2566 | 13:22 น.

การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ส่งผลกระทบและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานของผู้คนทั่วโลกไปตลอดกาล โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ปรับตัวเข้ากับการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ได้อย่างรวดเร็ว

 

ข้อมูลการสำรวจของ สำนักสำรวจสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า คนที่ทำงานจากที่บ้าน (Work from Home: WFH) เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงที่เกิด การระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยผู้ที่ทำงานจากบ้านเป็นคนที่มีอายุน้อยลง มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ มีระดับการศึกษาดีขึ้น และมีแนวโน้มที่จะย้ายถิ่นฐานมากขึ้นด้วย

ตามรายงานที่เผยแพร่ในเดือนเมษายน 2566 โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจชุมชนชาวอเมริกัน พบว่า สัดส่วนของแรงงานในสหรัฐที่ทำงานจากที่บ้าน เพิ่มขึ้นจาก 5.7% ในปี 2019 เป็น 17.9% ในปี 2021 เหตุผลหลักนั้นเนื่องมาจากข้อจำกัดต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

รายงานยังระบุด้วยว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ทำงานที่ทำงานจากที่บ้าน สอดคล้องกับการลดลงของผู้ขับรถยนต์ ผู้ที่ร่วมโดยสารรถยนต์ไปในเส้นทางเดียวกัน (คาร์พูล) ผู้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และผู้ใช้พาหนะเพื่อการเดินทางสัญจรประเภทอื่น ๆ

นอกจากนี้ รายงานผลสำรวจยังชี้ว่า

  • ในช่วงปีค.ศ. 2019 ถึง 2021 สัดส่วนของคนทำงานที่บ้านที่มีอายุ 25-34 ปีเพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 23%
  • ส่วนคนที่ทำงานที่บ้านและเป็นคนเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน เพิ่มขึ้นจาก 7.8% เป็น 9.5%
  • และสำหรับคนเชื้อสายเอเชีย เพิ่มขึ้นจาก 5.7% เป็น 9.6%
  • ในขณะที่ตัวเลขของแรงงานชาวฮิสแปนิกไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สัดส่วนของคนทำงานจากที่บ้านที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้ปรับสัดส่วนเพิ่มจากระดับเกินครึ่งหนึ่ง มาเป็นมากกว่า 2 ใน 3

และเมื่อพิจารณา ปัจจัยด้านการศึกษา สัดส่วนของคนทำงานจากที่บ้านที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ได้ปรับสัดส่วนเพิ่มจากระดับเกินครึ่งหนึ่ง มาเป็นสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3

ในขณะที่คนทำงานจากที่บ้านที่บอกว่า พวกเขามีโอกาสย้ายถิ่นฐานในปีที่ผ่านมา (2565) มากกว่าคนที่เดินทางไปทำงานตามปกติ

นอกจากนี้ เมื่อดูเป็นรายอุตสาหกรรม จะพบว่า ผู้ที่ทำงานจากที่บ้านมากที่สุด คือ

  • กลุ่มที่ทำงานด้านข้อมูล ปรับเพิ่มขึ้นจาก 10.4% เป็น 42%
  • กลุ่มทำงานด้านการเงิน ประกันภัย และอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้นจาก 10.8% เป็น 38.4%
  • ส่วนกลุ่มงานธุรการ เพิ่มขึ้นจาก 12.6% เป็น 36.5%

ส่วน กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดในแง่การทำงานจากที่บ้าน ได้แก่ ผู้ที่ทำงานในภาคการเกษตรและเหมืองแร่ ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจอาหาร รวมถึงผู้ที่ทำงานในกองทัพ

และถึงแม้ว่า ทุกระดับรายได้จะเห็นการเพิ่มขึ้นในการทำงานจากที่บ้าน แต่คนที่อยู่ในกลุ่มรายได้สูงที่สุดมักจะมีโอกาสทำงานจากบ้านมากที่สุด โดยรายงานพบว่า คนที่ทำงานอยู่ในกลุ่มรายได้สูงที่สุดทำงานจากทางบ้านมากขึ้นถึง 3 เท่าตัว ขณะที่การทำงานจากที่บ้านสำหรับคนที่อยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำสุด เพิ่มขึ้นเพียง 2 เท่าระหว่างปีค.ศ. 2019-2021

รายงานผลการสำรวจครั้งนี้ ยังเจาะลึกถึงการทำงานจากที่บ้านโดยดูความแตกต่างตามภูมิภาค ซึ่งพบว่าภายในปี 2021 หรือ 2 ปีที่แล้ว การทำงานจากที่บ้านของชาวอเมริกัน มีอยู่มากที่สุดในพื้นที่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศสหรัฐ โดยมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของจำนวนแรงงาน

ขณะที่ทางตอนใต้ของสหรัฐมีสัดส่วนผู้ที่ทำงานจากที่บ้านอยู่ที่ 16.2% และในพื้นที่ตอนกลางของประเทศอยู่ที่ 15.8% ซึ่งความแตกต่างนี้อาจเกิดจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การกระจุกตัวของกลุ่มงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่อยู่บริเวณเมืองแถบชายฝั่ง และวิถีการเดินทางของผู้คน ไม่ว่าจะทางรถยนต์หรือระบบขนส่งสาธารณะ

พื้นที่เมืองใหญ่ที่เน้นหนักไปที่งานด้านเทคโนโลยี เช่น นครซานฟรานซิสโกและเมืองซานโฮเซ ในปี 2021 มีมากกว่า 1 ใน 3 ของแรงงานที่ทำงานจากที่บ้าน

พื้นที่เมืองใหญ่ที่เน้นหนักไปที่งานด้านเทคโนโลยี เช่น นครซานฟรานซิสโกและเมืองซานโฮเซ ในปี 2021 มีมากกว่า 1 ใน 3 ของแรงงานที่ทำงานจากที่บ้าน ถือเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองใหญ่ ที่มีผู้อยู่อาศัยในเมืองมากกว่า 1 ล้านคน

ทั้งนี้ เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนใหญ่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่การสำรวจในปี 2021 จึงยังไม่มีความแน่ชัด ว่าการเพิ่มขึ้นของการทำงานจากที่บ้านนั้น จะเป็นไปอย่างถาวรหรือไม่

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ในรายงานแสดงความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มการทำงานจากที่บ้าน (WFH) ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่อเมริกันชน ดังนี้

“หากเป็นเพียงชั่วคราว การระบาดของโควิด-19 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกี่ยวกับสถานที่ทำงานของคนในสหรัฐอเมริกา ด้วยความสำคัญของการทำงานและการเดินทางในชีวิตของชาวอเมริกัน จึงอาจกล่าวได้ว่า การยอมรับการทำงานจากที่บ้านอย่างแพร่หลาย เป็นลักษณะเฉพาะของยุคแห่งโรคระบาดนี้”