"เล็บขบ"สาเหตุการเกิด พร้อมแนะวิธีดูแลรักษาไม่ให้ติดเชื้อ

31 ส.ค. 2565 | 01:59 น.

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เผยสาเหตุของภาวการณ์เกิดเล็บขบ สาเหตุที่ทำให้เกิดเล็บขบมีหลายประการ ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดสัดส่วนกันมากของปลายแผ่นเล็บกับส่วนโคนเล็บ พร้อมแนะวิธีรักษา ดูแลทำความสะอาดแผลไม่ให้ติดเชื้อ

นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยว่าจากกรณีที่มีข่าว เล็บขบ  มีหนอนอยู่ในซอกเล็บนั้น การที่พบหนอนในเนื้อเยื่อข้างเล็บเรียกว่า cutaneous myiasis  เป็นหนอนของแมลงวันหรือแมลงหวี่ที่มาวางไข่ไว้บนผิวหนังที่เปิดอยู่ เช่น บนฝี บนแผล หรือไชเข้ามาจากบริเวณอื่นของร่างกาย หลังจากวางไข่ 1-3 วัน ก็จะฟักเป็นหนอน  1-3 สัปดาห์ หนอนจะกลายเป็นดักแด้และเป็นแมลงบินออกไป 

 

การเป็นแผลที่มีการติดเชื้อหรือหนอนแมลงมักไม่หาย มีอาการอักเสบไปเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อมีแผลเปิดบนร่างกาย โดยเฉพาะแผลที่เรื้อรังหรือหายช้า ควรทำความสะอาด ระวังแมลงตอมหรือปิดแผลด้วยอุปกรณ์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้แมลงมาวางไข่ได้

 

"เล็บขบ"สาเหตุการเกิด พร้อมแนะวิธีดูแลรักษาไม่ให้ติดเชื้อ
 

ด้านแพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ  ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง  กรมการแพทย์  กล่าวเพิ่มเติมถึง ภาวะเล็บขบ (ingrown nails) คือภาวะที่ขอบด้านนอกของเล็บ กด หรือทิ่มเข้าในเนื้อด้านข้างเล็บ โดยมักเป็นกับนิ้วหัวแม่เท้า มากกว่านิ่วเท้าอื่น และเกิดน้อยมากกับเล็บนิ้วมือ 

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดเล็บขบมีหลายประการ แต่ที่พบบ่อยคือ

 

  • ความผิดสัดส่วนกันมากของปลายแผ่นเล็บกับส่วนโคนเล็บ เมื่อเดินจะเกิดแรงกดที่ปลายนิ้ว ด้านข้างแผ่นเล็บจะกดลงที่เนื้อขอบเล็บทำให้เริ่มมีอาการเจ็บเวลาเดิน คนไข้มักจะพยายามตัดเล็บโดยเฉพาะเซาะขอบข้างเล็บออกให้มากที่สุด และส่วนใหญ่ไม่สามารถตัดออกหมดได้โดยเหลือขอบนอกสุดของเล็บเป็นลักษณะเขี้ยวแหลม   ซึ่งจะทิ่มเนื้อด้านข้างต่อไป จนเกิดอาการอักเสบ บวม ติดเชื้อ มีหนอง 

 

  • ส่วนสาเหตุอื่นๆ ได้แก่ ภาวะเล็บโค้งผิดปกติ (pincer nails) การสวมถุงเท้ารองเท้าที่บีบหน้าเท้าแน่นเกินไป มีเหงื่ออกเท้ามากกว่าปกติ เป็นต้น

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การรักษาภาวะเล็บขบทำได้หลายวิธี ได้แก่

 

  • การแยกเนื้อกับขอบเล็บด้วยเทป หรือการงัดขอบเล็บขึ้นด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อทำการถอดเล็บเฉพาะส่วนด้านข้าง (partial nail avulsion)

  

  • หากมีอาการผิดปกติแนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการักษาที่ถูกต้อง

         

อ้างอิงที่มา :  กรมการแพทย์