‘จุฬาฯ – มหิดล’ ร่วมลงนาม ยกระดับสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่สู่ตลาด

19 ธ.ค. 2568 | 11:08 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2568 | 11:17 น.

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยมหิดล ยกระดับ “AnthoRice™ Complex – From Thai Soil to Global Science” นวัตกรรมเซรั่มบำรุงรากผมจากสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ของไทย พร้อมเตรียมเข้าสู่การทดสอบ-ออกสู่ตลาดในปี 2569

KEY

POINTS

  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหิดล ลงนามความร่วมมือ เพื่อต่อยอดงานวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีสารสกัดจากข้าวไรซ์เบอร์รี่สู่การผลิตเชิงพาณิชย์
  • งานวิจัยได้พัฒนาสารสกัดจากข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ของเกษตรกรไทยเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ซึ่งพร้อมจำหน่ายในฐานะเครื่องสำอาง
  • ความร่วมมือนี้จะนำผลิตภัณฑ์ไปสู่การทดสอบทางคลินิกที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อสร้างหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และยกระดับสู่การเป็นเวชสำอางในอนาคต

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมลงนามสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างบริษัท จุฬาฟาร์เทค จำกัด และบริษัท ไทธนบุรี คอร์ปอเรชั่น จำกัด พร้อมแถลงผลงานวิจัยโดยนักวิจัย Stem Cell ชั้นนำระดับประเทศ นำเสนอความก้าวหน้าของงานวิจัยตั้งแต่ระดับเซลล์จนถึงแนวทางการยกระดับสู่การทดสอบทางคลินิกร่วมกับโรงพยาบาลศิริราชในช่วงต้นปี 2569 

ศ.ดร.วิเลิศ กล่าว่า บทบาทมหาวิทยาลัยในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการจัดการเรียนการสอนหรือการทำวิจัยเชิงวิชาการเท่านั้น แต่เป็นการบูรณาการการศึกษา งานวิจัย การสร้างผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวม หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนดังกล่าว คือการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพและเป้าหมายร่วมกัน 

“ความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ โดยคณะเภสัชศาสตร์ กับคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นตัวอย่างชัดเจนของพลังความร่วมมือระหว่างสถาบันชั้นนำ ที่สามารถต่อยอดองค์ความรู้ทางวิชาการ ไปสู่ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จับต้องได้ ซึ่งผลงานดังกล่าวสร้างคุณค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่การเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ไปจนถึงการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนไทย”

‘จุฬาฯ – มหิดล’ ร่วมลงนาม ยกระดับสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่สู่ตลาด

การทำวิจัยร่วมกันในลักษณะนี้ แสดงให้เห็นว่าคุณค่าที่แท้จริงของงานวิจัยไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวสินค้า แต่คือคุณค่าที่เชื่อมโยงไปสู่ผู้คน สังคม และประเทศชาติ ความร่วมมือของทั้งสองมหาวิทยาลัยในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการนำองค์ความรู้ไปสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคมไทย และขยายผลสู่เวทีระดับนานาชาติในอนาคตอย่างยั่งยืน

ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เป็นการยกระดับงานวิจัยจากองค์ความรู้เชิงวิชาการไปสู่การประยุกต์ใช้จริงอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการต่อยอดผลงานวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ สู่การทดสอบทางคลินิก ณ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและหลักฐานเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นการบูรณาการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ 

‘จุฬาฯ – มหิดล’ ร่วมลงนาม ยกระดับสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่สู่ตลาด

ไม่เพียงเป็นความร่วมมือระหว่างสองสถาบันการศึกษาชั้นนำเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงเกษตรกร ผู้ผลิต ภาคอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เข้ามามีบทบาทในการผลิตเชิงพาณิชย์และการตลาด ทำให้งานวิจัยสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพในการจำหน่ายจริง 

โมเดลความร่วมมือนี้ถือเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นได้ยากในประเทศไทย และสะท้อนให้เห็นพลังของการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ หากขยายผลไปสู่สมุนไพรหรือผลิตผลทางการเกษตรและอาหารชนิดอื่น ๆ ของไทย จะสามารถเพิ่มมูลค่า สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและประสิทธิผล พร้อมทั้งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

‘จุฬาฯ – มหิดล’ ร่วมลงนาม ยกระดับสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่สู่ตลาด

ด้าน รศ.ภก.ดร.วรสิทธิ์ วงศ์สุทธิเลิศ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การต่อยอดงานวิจัยสมุนไพรสู่โมเดลเศรษฐกิจของประเทศว่า ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงทิศทางการทำงานวิจัยที่ไม่ได้หยุดอยู่เพียงความสำเร็จในระยะเริ่มต้น แต่เป็นงานวิจัยต่อเนื่องที่ต้องเดินหน้าพัฒนาอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างข้อมูลเชิงประจักษ์ที่น่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในเชิงวิชาการและเชิงพาณิชย์ 

สำหรับสารสกัด AnthoRice เป็นตัวอย่างสำคัญของโมเดลงานวิจัยที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ มุ่งขยายผลไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและวัตถุดิบธรรมชาติชนิดอื่น ๆ ในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพและประสิทธิผลตลอดกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ 

แนวทางดังกล่าวไม่เพียงช่วยยกระดับงานวิจัยด้านสมุนไพร ให้มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการต่อยอดองค์ความรู้ สู่การพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ เป็นการสะท้อนภาพของงานวิจัยที่เชื่อมโยงทั้งวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม

‘จุฬาฯ – มหิดล’ ร่วมลงนาม ยกระดับสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่สู่ตลาด

ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลงานของคนไทยอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ หัวใจสำคัญของความร่วมมือนี้คือ การนำองค์ความรู้ทางวิชาการและงานวิจัย มาต่อยอดสู่การใช้จริงในระบบการแพทย์ โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมีบทบาทสำคัญทั้งในการดูแลผู้ป่วย 

โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาด้านเส้นผม และการสร้างองค์ความรู้ใหม่ผ่านกระบวนการวิจัยทางคลินิกอย่างเป็นระบบ ซึ่งผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วย จำเป็นต้องผ่านการพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการยกระดับงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการสู่การทดสอบในมนุษย์อย่างมีมาตรฐาน 

ผลการวิจัยทางคลินิกที่กำลังดำเนินอยู่ คาดว่าจะสามารถยืนยันประสิทธิผลของผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน และนำไปสู่การใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยได้จริง ไม่เพียงเฉพาะในประเทศไทย แต่ยังสามารถขยายผลสู่ระดับสากล

‘จุฬาฯ – มหิดล’ ร่วมลงนาม ยกระดับสารสกัดข้าวไรซ์เบอร์รี่สู่ตลาด

ศ.ภก.ดร.ปิติ จันทร์วรโชติ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ผู้วิจัย กล่าวว่า ภายใต้กรอบบันทึกข้อตกลง (MOU) ที่มุ่งเน้นการพัฒนางานวิจัยร่วมและการต่อยอดสู่นวัตกรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรของไทยควบคู่กับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสูง 

งานวิจัยนี้เลือกข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์เป็นวัตถุดิบหลัก โดยทำงานร่วมกับกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดเพชรบูรณ์และพิจิตร ซึ่งเผชิญปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและราคาผลผลิตที่ตกต่ำ คณะวิจัยได้นำข้าวไรซ์เบอร์รี่มาสกัดด้วยกระบวนการที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย จนได้สารสกัดที่มีสารสำคัญ และผลการวิจัยถูกพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมได้

“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อยู่ในสถานะเครื่องสำอางที่พร้อมออกสู่ตลาดแล้ว ขณะเดียวกัน คณะวิจัยกำลังก้าวสู่ขั้นตอนสำคัญถัดไป คือการทดสอบในอาสาสมัครจริงในระดับคลินิก โดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเป็นผู้ดำเนินการ และเมื่อการทดลองในมนุษย์แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์จากเครื่องสำอางเป็นเวชสำอาง ภายในระยะเวลาประมาณ 6 เดือนข้างหน้า”