KEY
POINTS
นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์เปิดเผยว่า อุตสาหกรรม Health and Wellness ในประเทศไทยถูกขับเคลื่อนโดยภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายหลักคือการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ ทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นักท่องเที่ยวทั่วไป นักท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (long stay) และกลุ่มผู้เข้าร่วมงานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งจะผลักดันไทยให้เป็น Health and Wellness Hub หรือศูนย์กลางด้านสุขภาพและการให้บริการด้านสาธารณสุข ครอบคลุมบริการสปา ศูนย์บริการทางการแพทย์ โรงพยาบาล ตลอดจนร้านอาหารต่างๆ
“เมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยยังคงอยู่ในตำแหน่งที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มาก เนื่องจากคุณภาพ ความน่าสนใจของบริการและโครงสร้างพื้นฐาน ด้านโรงแรมที่มีราคาและมาตรฐานที่แข่งขันได้ นักท่องเที่ยวในเอเชียส่วนใหญ่ก็เลือกมาประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย”
นอกจากนี้ เรื่องอาหารก็เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรม Health and Wellness ซึ่งมีภาคเกษตรเป็นต้นน้ำไปสู่ภาคธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน สิ่งเหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องอาหารสุขภาพ ที่ต้องพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของตลาด เช่น การพัฒนาสายพันธุ์ วิธีการปลูก และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยการพัฒนาต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคเกษตร พาณิชย์ อุตสาหกรรม และงานวิจัยประกอบกัน เพราะหากภาคเกษตรไม่สามารถรองรับความต้องการด้านอาหารได้ จะต้องพึ่งพาการนำเข้าและส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็ยังประสบปัญหาเรื่องปริมาณการผลิต (volume) แม้ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของไทยจะมาจากวัตถุดิบที่เราปลูกได้เอง แต่หากมองในภาพรวมส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้าวัตถุดิบเกือบ 100% โดยเฉพาะวัตถุดิบที่นำมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
นางสาวรุ้งเพชร กล่าวว่า ในมุมมองของภาคเอกชนนอกจากความร่วมมือด้านต่างๆ รัฐบาลไทยต้องปรับและพัฒนาเป็น One-Stop Service ที่ภาคเอกชนไม่ต้องติดต่อหลายกระทรวงเพื่อดำเนินธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนประเด็นด้านความยั่งยืน (Sustainability) และ Zero Waste ก็เป็นเทรนด์สำคัญ ต้องดึงงานวิจัยเข้ามามีบทบาทในการสกัด by-product เพื่อใช้ในการผลิตอาหาร ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น วิตามิน เป็นต้น
แน่นอนว่าปัจจุบัน “งานวิจัยยังอยู่บนหิ้ง” งานวิจัยจำนวนมากในประเทศไทยยังคงค้างอยู่ในสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย และไม่ได้รับการนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ เพราะขาดระบบที่เชื่อมโยง ระหว่างงานวิจัยกับการค้า ทำให้การนำผลงานวิจัยออกสู่ตลาดเป็นเรื่องยาก หากภาครัฐการส่งเสริมให้ SME เข้าถึงงานวิจัย เพื่อนำไปพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ได้ จะช่วยสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงระหว่าง SME กับสถาบันวิจัยได้
ดังนั้น งานแสดงสินค้าจึงมีบทบาทสำคัญที่จะเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ส่งเสริม Business Connection รวมถึงนำเสนอนวัตกรรม โดยงาน Foodingredients Asia (Fi Asia 2025)และVitafoods Asia 2025 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่17 – 19กันยายน2568ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นับว่าเป็นเวทีระดับนานาชาติ สำหรับอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัด ส่งเสริมให้ประเทศไทยซึ่งเป็น Kitchen of the World หรือครัวของโลก ก้าวสู่“ศูนย์กลางนวัตกรรมFood Ingredientแห่งเอเชีย”ได้จริงในอนาคต
“ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนของผู้เข้าร่วมงาน Fi Asia & Vitafoods Asia 2025 เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย จากเดิมลูกค้าต่างชาติ 80% คนไทย 20% ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าต่างชาติคิดเป็น 60% คนไทย 40% สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนในไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการที่ผู้ประกอบการไทยเริ่มผลิตเองมากขึ้น โดยกลุ่มผู้เข้าร่วมงานหลักคือ นักวิจัยและพัฒนาสินค้าจากโรงงาน (R&D) ทั้ง SME และบริษัทขนาดใหญ่ ที่มองหาวัตถุดิบและนวัตกรรมเพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป”
เทรนด์สำคัญในปีนี้ คือเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะ Anti-aging ไฮไลต์ของงานปีนี้จึงนำเสนอนวัตกรรมด้านสุขภาพ การเชื่อมโยงงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาเข้ากับการค้า และการผลักดัน Positive List การแข่งขันและสถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนาประเทศไทยให้เท่าทันเทคโนโลยี เพราะไทยประกาศตัวเป็นฮับด้านสุขภาพก่อนใครในภูมิภาค แต่ปัจจุบันกลับเคลื่อนไหวช้ากว่าคู่แข่ง บางส่วนก็แซงหน้าไปแล้ว เช่น เวียดนามและมาเลเซีย ขณะที่ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียก็กำลังพัฒนา โดยมุ่งเน้นตลาดเฉพาะทาง เช่น สาหร่าย และมีเป้าหมายที่จะส่งออกไปยังยุโรปด้วย
นางสาวรุ้งเพชร กล่าวว่า มาตรฐานของสินค้าไทย ถือว่ายังเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ แต่ปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ ต้นทุนการผลิตสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณการผลิต (volume) แม้แบรนด์ประเทศไทยจะยังติดอันดับ 1 ใน 10 ของเอเชียแปซิฟิก แต่ในภาพรวมของอุตสาหกรรมมีการแข่งขันที่ต่ำกว่าญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี และต้องแข่งขันกับเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย
แม้ประเทศไทยยังเหมาะแก่การลงทุนในธุรกิจอาหาร แต่การแข่งขันในด้านอาหารยังต้องพัฒนาอีกมาก ซึ่งภาครัฐควรมีบทบาทในเรื่องการเกษตรตั้งแต่ต้นน้ำ ด้วยการพัฒนาสายพันธุ์พืชต่างๆ และทำให้เกษตรกรทุกรายสามารถเข้าถึงสายพันธุ์เหล่านั้นได้ และควรมี “Positive List” ของสายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นในไทย เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิ์ปลูกได้
“จะเห็นได้ว่าการลงทุนจากภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มี Health Claim (การกล่าวอ้างทางสุขภาพ) ซึ่งมีต้นทุนสูง (เฉลี่ย 20 ล้านบาทต่อตัว) และใช้ระยะเวลาการทดลองทางคลินิกอย่างน้อย 1 ปี หากไม่มีรัฐบาลมาลงทุน บริษัทเอกชนจะเลือกนำเข้ามากกว่า ทำให้ขาดโอกาสในการเชื่อมโยงงานวิจัยกับการค้า และการขยายโอกาสให้ SME ในภูมิภาคเข้าถึงงานวิจัยมากขึ้น”
ดังนั้น งาน Fi Asia & Vitafoods Asia 2025 จะช่วยสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนวัตกรรมจากสินค้าโภคภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรของไทย ให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับภายใต้มาตรฐาน “Made in Thailand” ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Health and Wellness Hub ซึ่งสร้าง
มูลค่าทางเศรษฐกิจได้หลายแสนล้านบาท