รพ.จุฬาฯ หนุนศูนย์รักษ์พุง เดินหน้ารักษา ‘โรคอ้วน’ ครบวงจร

07 ก.ย. 2568 | 07:07 น.

ศูนย์รักษ์พุง รพ.จุฬาฯ ย้ำโรคอ้วน ต้นเหตุโรคร้ายกว่า 20 ชนิด พร้อมเดินหน้ารักษาตั้งแต่ คุมอาหาร ใช้ยา ผ่าตัด ด้วยทีมแพทย์สหสาขา ครบวงจร

โรคอ้วนเป็นปัญหาทางสุขภาพที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเป็นเหตุให้เกิดโรครุมเร้ามากมาย ได้แก่ เบาหวาน ไขมัน โรคทางด้านระบบประสาท โรคเส้นเลือดสมอง การนอนหลับผิดปกติ ความดันสูง โรคหัวใจ โรคปอด กรดไหลย้อน ภาวะมีลูกยาก ซีสต์ ไตผิดปกติ การกลั้นปัสสาวะอุจจาระผิดปกติ เส้นเลือดขอด ไขมันเกาะตับ ตับแข็ง นิ่ว มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ ศัลยแพทย์โรคอ้วน และผู้อำนวยการศูนย์รักษ์พุง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า การรักษาโรคอ้วนและการลดน้ำหนักเป็นไปได้ หากผู้ที่มีภาวะอ้วนได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์และทีมสหสาขาวิชา

โดยศูนย์รักษ์พุง เป็นต้นแบบเรื่องการดูแลรักษาภาวะโรคอ้วน มีทั้งองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ และวิธีรักษาโรคอ้วนแบบครบวงจร รวมทุกภาคส่วนในการดูแลโรคอ้วนและโรคเมตาบอลิกเข้ามาอยู่ด้วยกัน

ทั้งนี้ ศูนย์รักษ์พุงก่อตั้งขึ้นในปี 2550 ในแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ามารักษาโรคอ้วนโดยไม่ผ่าตัดแล้วราว 2,000 – 3,000 ราย และผู้ป่วยโรคอ้วนที่ได้รับการผ่าตัดประมาณ 120 – 150 ราย

ศูนย์รักษ์พุงเป็นแหล่งรวมของแพทย์สหสาขาวิชา เช่น ต่อมไร้ท่อ เพราะโรคอ้วนจำนวนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หมอผู้เชี่ยวชาญด้านปอด หมอหูคอจมูก และหมอระบบประสาทเพื่อดูแลเรื่องของการนอนหลับ หมอทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญทำให้เกิดโรคอ้วน หมอเชี่ยวชาญเรื่องทางเดินอาหารดูแลเรื่องการผ่าตัด จิตแพทย์ให้คำปรึกษาเรื่องสภาพจิตใจ

หมอเด็กดูแลเด็กที่มีภาวะโรคอ้วน หมอศัลยกรรมตกแต่งดูแลรักษาเพื่อปรับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เข้าที่ สูตินารีแพทย์ดูแลผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีบุตรยาก มีซีสต์รังไข่ มะเร็งรังไข่ หมอทางด้านรังสีวิทยาดูแลเรื่องการตรวจหานิ่วในถุงน้ำดี และหมอหัวใจดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางด้านหัวใจ

นอกจากนี้ยังมีนักกายภาพบำบัดดูแลฟื้นฟูผู้ป่วย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาดูแลเรื่องการออกกำลังกาย นักกำหนดอาหารดูแลเรื่องอาหาร รวมทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และ Patient Support Group กลุ่มของผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วนมาสร้างกำลังใจ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน

รพ.จุฬาฯ หนุนศูนย์รักษ์พุง เดินหน้ารักษา ‘โรคอ้วน’ ครบวงจร

แนวทางการรักษาโรคอ้วนสำหรับผู้ที่มีค่า BMI 25 ขึ้นไป ดังนี้      

ผู้ที่มีค่า BMI 25 – 29.9

ผู้ที่มีค่า BMI 25 – 29.9 จัดว่าเป็นกลุ่มน้ำหนักเกินเกณฑ์ เข้าขั้นท้วม กลุ่มนี้เริ่มมีโรครุมเร้าและต้องเริ่มดูแลตัวเองให้มากขึ้น หลักสำคัญในการดูแลตัวเองเน้นเรื่องการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งทางศูนย์ฯ มีนักกำหนดอาหารมาช่วยดูแลและมี group treatment เข้ามาช่วยกันชักชวนกันดูแลสุขภาพ

ถ้าค่า BMI = 27.5 – 29.9 อาจเพิ่มตัวช่วย เช่น ยา ซึ่งโดยมากเป็นยาบล็อกไม่ให้ร่างกายดูดกลืนไขมัน ยาฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มหรือเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ยาฉีดไม่ว่าจะเป็นวันละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง เพื่อช่วยปรับและเปลี่ยนสารคัดหลั่งในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็ว เผาผลาญอาหารได้มากขึ้น แก้ไขความผิดปกติต่าง ๆ ทำให้น้ำหนักลดลงกว่าเดิมที่ไม่ได้รับยา ทั้งนี้ การได้รับยาต่าง ๆ นั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30 – 32.5

ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30 – 32.5 เรียกว่าภาวะอ้วน มีความเสี่ยงจากโรคอ้วนสูงมากโดยเฉพาะโรคทางเมตาบอลิก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาไม่ว่าจะเป็นยาหรือทำการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น ส่องกล้องผ่าตัดปรับทางเดินอาหาร

ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 32.5

ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 32.5 และมีโรครุมเร้าต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหารเพื่อให้ฮอร์โมนร่างกายได้ปรับใหม่ ให้เมตาบอลิซึมของร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ ความหิวลดน้อยลง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาดูแลตัวเองให้ออกจากภาวะโรคอ้วน และโรครุมเร้าต่าง ๆ หายไป

 ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์

ศ. นพ.สุเทพ  กล่าวว่า ยาลดความอ้วนมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อบ่งชี้และข้อควรระวังต่าง ๆ กันไปซึ่งถ้าจะใช้ยาลดความอ้วน แนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม และต้องมีการติดตามผลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย เพราะยาบางตัวอาจมีผลต่อตับ ไต จิตใจและอารมณ์

นอกจากนี้ ต้องเลือกใช้ยาที่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาเท่านั้น เช่น ยาที่ป้องกันการดูดซึมของไขมัน ยาที่ผลิตขึ้นมาคล้ายสารคัดหลั่งภายในร่างกายเพื่อให้เกิดความอิ่ม รู้สึกหิวน้อยลง ยากลุ่มนี้มีการศึกษาแล้วว่าปลอดภัย ส่วนยาอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยาเหล่าดังกล่าวเรียกว่ายาต้องห้าม

โรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลก ข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าปัจจุบันประชากรทั่วโลกมีภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า (2578) จะมีประชากรกว่า 1.9 พันล้านคน ที่มีภาวะอ้วน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรโลก สำหรับประชากรไทย มีการสำรวจพบว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนถึงร้อยละ 42.2

แนวโน้มภาวะโรคอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เป็นแรงผลักดันให้ศูนย์รักษ์พุงเดินหน้าศึกษานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงของการรักษา

ศ. นพ.สุเทพ ยกตัวอย่างว่า เช่น การใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหารเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคอ้วน ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้จะลดน้ำหนักได้ 10-15% ของน้ำหนักตัว ซึ่งก็เพียงพอที่จะให้โรคต่าง ๆ หายไป แต่จะมีอาการจุกแน่นหลังจากที่ใส่บอลลูน 1 – 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงต้องมีความเข้าใจและติดตามดูแลอาการต่อเนื่อง

รพ.จุฬาฯ หนุนศูนย์รักษ์พุง เดินหน้ารักษา ‘โรคอ้วน’ ครบวงจร

“สำหรับเรื่องยา เรามีการพัฒนาความรู้เรื่องยาอยู่เรื่อย ๆ ยาในปัจจุบันที่ได้ผลดีที่สุดใกล้เคียงการผ่าตัด เมื่อมีหลายเทคโนโลยีมารวมกันทำให้เรารักษาผู้ป่วยได้ทุกบริบท เป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน การผ่าตัดเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับผู้ที่รักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล”

แนวทางการศึกษาโรคอ้วนในระยะยาวคือการศึกษาการลดความเสี่ยงในการผ่าตัด สำหรับผู้ที่มีเกณฑ์ผ่าตัด แต่ไม่พร้อมเพราะมีความเสี่ยงมากเกินไป การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเพื่อปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหาร เป็นทางเลือกที่ลดความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันวิธีการนี้ยังอยู่ในระยะการศึกษา

แม้ศูนย์รักษ์พุงจะมีแนวทางการรักษาที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ แต่ที่ดีที่สุดในการดูแลรักษาโรคอ้วน คือ การป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะอ้วน ด้วยการดูแลสุขภาพ เช็กสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก ถ้าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ 18.5 – 24.9 คือกลุ่มที่ดูแลสุขภาพได้ดี ก็ให้ปฏิบัติดูแลต่อไป คนที่น้ำหนักเกิน 25- 29.9 ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเต็มรูปแบบ ออกกำลังกายด้วยการเดิน ขึ้นบันได เพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็ได้ แต่ถ้าคนไหนพร้อมและออกกำลังกายอย่างเป็นจริงจังก็เป็นเรื่องดี

 

คุณมีภาวะอ้วนหรือไม่ หาคำตอบได้จากสูตรการวัดค่าดัชนีมวลกาย

ดัชนีมวลกาย (BMI)   =  น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร)2

  • หากคำตอบของคุณอยู่ระหว่าง 14.9 – 24.9 คุณอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หากคำตอบของคุณอยู่ระหว่าง 25 – 29.9  คุณกำลังเข้าสู่เกณฑ์น้ำหนักเกินหรือท้วม
  • หากคำตอบของคุณเกิน 30 ขึ้นไป คุณกำลังเป็นโรคอ้วน!