KEY
POINTS
ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหงและบริษัทในเครือ เปิดเผยว่า จากรุ่นคุณพ่อผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลรามคำแหง transition เปลี่ยน generation ส่งต่อมาสู่รุ่นลูก โดยเริ่มต้นเข้ามาดูแลเรื่องการลงทุนให้กับโรงพยาบาลตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งยังไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในฝั่งปฏิบัติการของโรงพยาบาลโดยตรง กระทั่งช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำ COVID Drive-through และเข้ามาดูแลด้านบัญชีการเงินอย่างเต็มตัวในตำแหน่ง Chief Financial Officer (CFO) ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท” ในเวลาต่อมา
“หากนับย้อนเวลาเข้าบริหารงานอย่างเต็มตัวจะเริ่มเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยมีคุณพ่อเป็นต้นแบบการทำงาน และคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำงานมาโดยตลอด ทั้งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักกับนักลงทุน ผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติ มีส่วนร่วมในเรื่องนโยบายหลักขององค์กร โดยเฉพาะในในยุคปัจจุบัน ที่เรื่องการสื่อสารกับทุก ๆ ฝ่าย ทั้งผู้บริโภค กลุ่มลูกค้า กลุ่มคนไข้ เป็นเรื่องสำคัญรวมถึง manage การลงทุนในบริษัทและให้ความสำคัญกับ นักลงทุน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ รายย่อย ทั้งหมด ซึ่งการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรและการสื่อสารปัจจุบันต้องทันสมัยและก้าวทันยุคสมัยใหม่ จะแตกต่างจากยุคคุณพ่อที่ไม่นิยมการเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ”
ปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีเครือข่ายโรงพยาบาลทั้งสิ้น 46 แห่งทั่วประเทศ จำนวนเตียงรวม 7,800 เตียง นับได้ว่าเป็นเครือโรงพยาบาลอันดับ 2 ของประเทศไทย โดยจับมือทำงานแบบพันธมิตร สามารถแบ่งปันความรู้และเติบโตไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นของโรงพยาบาลรามคำแหงกับโรงพยาบาลในเครือมีตั้งแต่ต่ำกว่า 10% จนถึงมากกว่า 50% มีโรงพยาบาลวิภาวดีเป็นหุ้นส่วนใหญ่และเป็นบริษัทลูก รวมถึงโรงพยาบาลรามคำแหง 2 และ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม (ถือหุ้น 40% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด) นอกจากนี้ ยังเป็นพันธมิตรกับ เครือโรงพยาบาลธนบุรี เครือโรงพยาบาลสินแพทย์ และ โรงพยาบาลราชธานี และโรงพยาบาลอื่นๆ การกระจายตัวครอบคลุมทั่วประเทศ
ดร. ฤกขจี เล่าให้ฟังว่า แผนธุรกิจและการลงทุนของรพ. ไม่มีแบบตายตัว แต่โดยทั่วไปคือการเข้าซื้อหุ้นหรือโรงพยาบาลตามจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม โดยจะเน้นการลงทุนในรูปแบบ Brownfield (เข้าซื้อโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้ว) มากกว่าการสร้างโรงพยาบาลใหม่ แต่ก็ยังคงมีโครงการก่อสร้างใหม่บางแห่งเป็นโครงการขนาดเล็ก เช่น จังหวัดน่าน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในปี 2569 และที่จังหวัดมหาสารคามที่ยังอยู่ในช่วงการหารือและออกแบบ
ส่วนการลงทุนในเครือโรงพยาบาลธนบุรี ซึ่งเข้าไปลงทุนครั้งแรกเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยสัดส่วน 24% ล่าสุดเพิ่งเสร็จสิ้นการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 49.1% ด้วยมูลค่า 3,700 ล้านบาท ในการจัดสรรหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) และจะใช้สิทธิ์ตามสัดส่วนใน Right Offering อีกประมาณ 1,300 ล้านบาท พร้อมยืนยันว่าจะไม่ซื้อหุ้นเพิ่มเกินสัดส่วนปัจจุบัน เพื่อให้โอกาสผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ใช้สิทธิ์ด้วย เนื่องจากเงินทุนที่ระดมได้เพียงพอต่อแผนการดำเนินงานแล้ว เงินส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนในกิจการอื่นที่คุ้มค่ากว่า
“การเข้าถือหุ้นในธนบุรีนี้จะช่วยให้บริษัทเติบโตขึ้น 2 เท่าตัว และในระยะ 1-3 ปีจากนี้ไป หลังจากนี้จะเน้นปรับโครงสร้างการถือหุ้นของโรงพยาบาลบริษัทในเครือ เปลี่ยนจากบริษัทร่วมให้เป็นบริษัทลูก หรือถือหุ้นในระดับที่สามารถควบคุมการบริหารได้ (มากกว่า 50%) เพื่อเพิ่มอำนาจในการบริหารและผลรวมทางบัญชี”
ทั้งนี้ โรงพยาบาลรามคำแหงและโรงพยาบาลในเครือ มุ่งเน้นการดูแลคนไข้ชาวไทยทุกระดับและทุกชนชั้นเป็นหลักกว่า 95% ครอบคลุมผู้ป่วยทั้งระบบ 30 บาท ประกันสังคม และผู้ที่ชำระเงินสดหรือใช้ประกัน จุดเด่นสำคัญคือการมีศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ที่เชี่ยวชาญด้านโรคยากและซับซ้อน เช่น ระบบหัวใจ ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร มีชื่อเสียงโดดเด่นในด้าน โรคหู คอ จมูก โดยโรงพยาบาลในต่างจังหวัดมักจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนหลักของจังหวัด นั้นๆ มีระบบ referral program เพื่อส่งต่อผู้ป่วยไปยังศูนย์แฟลกชิปในภูมิภาคต่างๆ และในกรุงเทพฯ ได้ ส่วนคนไข้ชาวต่างชาติปัจจุบันถือว่ามีสัดส่วนน้อยมากกว่า 5% และส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
สำหรับรายได้หลักของโรงพยาบาลรามคำแหงและโรงพยาบาลในเครือมาจากการรักษาโรคเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 คือ การค้าเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนของทั้งเครือและสร้างรายได้จากการขายให้โรงพยาบาลอื่นด้วย รวมถึงการตรวจสุขภาพ นอกจากนี้ยังสนใจลงทุนด้าน เวชศาสตร์ป้องกัน เวชศาสตร์ฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วย เวชศาสตร์การกีฬา และการพัฒนาสมรรถภาพร่างกายในเด็กและวัยรุ่นในอนาคต
ดร. ฤกขจี บอกอีกว่า การดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลในปีนี้ นับได้ว่าเป็นปีที่ยากด้วยภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงนโยบายบริษัทประกันที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ตอนนี้นโยบาย Co-payment จะยังไม่มีผลกระทบมากนัก แต่ก็เป็นปีที่ดีสำหรับโรงพยาบาลรามคำแหงและโรงพยาบาลในเครือ ที่สามารถลงทุนในโรงพยาบาลธนบุรีได้สำเร็จ โดยคาดการณ์ว่าการดำเนินธุรกิจในปีนี้จะเติบโตประมาณ 7% แต่เมื่อรวมรพ. ธนบุรีเข้ามาในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี คาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดด 30-40%
ขณะที่ในครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 5,481 ล้านบาท (ไม่รวมกลุ่มธนบุรี) โดยมี EBITDA ประมาณ 1,400 - 1,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีก่อน 9 - 10% โดยในไตรมาส 3 มีแนวโน้มที่ผู้ป่วยด้วยโรคพื้นฐานน้อยลงหรืออาจมองได้ว่าเข้ารับการรักษาลดลง เพราะส่วนหนึ่งอาจเก็บเงินไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจในอนาคต แต่กลุ่มโรงพยาบาลใหญ่ที่เน้นการผ่าตัดและโรคยากจะได้รับผลกระทบในส่วนนี้น้อยกว่าโรงพยาบาลขนาดเล็ก
“ปกติโรงพยาบาลทั่ว ๆ ไปจะตั้งเป้าการเติบโต 5-10% แต่การขยายกิจการในลักษณะนี้ ด้วยการรวมโรงพยาบาลธนบุรีเข้าสู่เครือโรงพยาบาลรามคำแหง จะทำให้อัตราการเติบโตดีดตัวขึ้น 2 เท่าหรือเติบโตแบบก้าวกระโดด ดังนั้นในครึ่งปีแรกของปี 2569 คาดว่าจะมีรายได้เติบโตเป็น 2 เท่าตัว เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2568 เนื่องจากจะมีการรวมผลประกอบการของกลุ่มธนบุรีเข้ามาเติมเต็มทั้งปี”
อย่างไรก็ตาม ในธุรกิจด้านสุขภาพหรือธุรกิจโรงพยาบาลในประเทศไทยยังสามารถมองเห็นโอกาสการเติบโตได้อีกมาก เพราะประเทศไทยยังเหมาะกับการเป็น Medical Hub มีศักยภาพด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและ Hospitality ที่โดดเด่น แต่องค์กรต้องปรับตัวนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อย่างการใช้ AI ควบคู่ไปกับการวินิจฉัยหรือการรักษาโรคต่างๆร่วมกับแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย เช่น วิเคราะห์ฟิล์ม X-ray เพื่อช่วยรังสีแพทย์ หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อให้ระบบการทำงานทันสมัยอยู่เสมอ