สภาองค์กรผู้บริโภค ค้านหลักสูตร เสริมจมูก 3 เดือน เสี่ยงอันตรายผู้บริโภค

14 ส.ค. 2568 | 07:20 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ส.ค. 2568 | 07:19 น.

สภาองค์กรผู้บริโภค-ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ คัดค้านหลักสูตรเสริมจมูกระยะสั้น 3 เดือน หวั่นทำลายมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ไทย เพิ่มความเสี่ยงอันตรายร้ายแรงแก่ผู้บริโภค

จากกรณีที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และแพทยสภา ได้มีการนำหลักสูตรศัลยกรรมเสริมจมูก "Simple Rhinoplasty" ระยะสั้น 3 เดือนกลับมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่แพทยสภาได้ล้มเลิกการพิจารณาประเด็นการร่างข้อบังคับหลักสูตรดังกล่าวในปี 2565 แต่เรื่องนี้ได้กลับมาถูกผลักดันอีกครั้ง พร้อมกับถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรดังกล่าวว่า เพียงพอที่จะเปลี่ยนให้แพทย์เป็นแพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมเสริมจมูกได้จริงหรือ? คำถามนี้เป็นประเด็นร้อนแรงที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และสภาผู้บริโภค ซึ่งมองว่าหลักสูตรดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและมาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์ของไทยหรือไม่นั้น 

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ระบุในเวทีแถลงข่าว "ความปลอดภัยของผู้บริโภคต่อศัลยกรรมเสริมความงาม" เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ว่า สภาผู้บริโภคได้ติดตามและคัดค้านร่างข้อบังคับแพทยสภาที่เกี่ยวกับการจัดหลักสูตรเสริมความงามระยะสั้น ตั้งแต่ปี 2565 เนื่องจากกังวลว่า จะทำให้มาตรฐานวิชาชีพลดลงและกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคโดยได้ยื่นหนังสือคัดค้านต่อแพทยสภาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จนแพทยสภามีมติยุติการพิจารณาในเดือนสิงหาคม 2565

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 กลับมีความพยายามจัดทำหลักสูตรเสริมความงามจมูกระยะสั้นเข้าสู่การพิจารณาอีกครั้ง แม้แพทยสภาจะออกแถลงข่าวปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม

"สภาผู้บริโภคเราสนับสนุนธุรกิจนี้ให้เติบโต เราไม่ได้มีปัญหา แต่มันก็ควรจะมาพร้อมกับมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค"

ทั้งนี้ เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ได้นำเสนอข้อมูลร้องเรียนที่เกี่ยวกับบริการเสริมความงามที่สภาผู้บริโภคได้รับ พบว่า มีทั้งหมด 1,188 ราย ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับโฆษณาที่ทำให้เข้าใจผิดทั้งการโฆษณาเกินจริง โฆษณาเป็นเท็จ รวมถึงการให้บริการในสถานที่ไม่ได้มาตรฐาน การตั้งราคาสูงเกินจริง การปิดกิจการโดยไม่แจ้งลูกค้าและการไม่ให้ข้อมูลสำคัญ เช่น คำเตือนหรือราคาที่ชัดเจน

สะท้อนว่า ประเด็นความงามจำเป็นต้องมีมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้ธุรกิจเติบโตควบคู่กับความปลอดภัยและคุณภาพบริการของผู้บริโภค

"สิทธิของผู้บริโภคที่สำคัญคือสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัย ดังนั้นเมื่อเกิดความไม่ปลอดภัย ผู้บริโภคย่อมมีสิทธิที่จะร้องเรียนและได้รับการเยียวยา ปัจจุบันการฟ้องร้องและดำเนินการตามกฎหมายยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน จึงควรมีการพิจารณาจัดตั้ง กองทุนเยียวยาผู้บริโภคขึ้นมาเพื่อช่วยลดภาระให้กับประชาชน"

 

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค