นายกุลชนม์ ยิ่งชัยยะกมล ผู้จัดการทั่วไป แผนก Client Management ฝ่ายธุรกิจเฮลธ์แคร์อัลลายแอนซ์ – กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ (Healthcare Alliance - Medical Device) หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทยการแข่งขันค่อนข้างคึกคัก ปัจจุบันคากว่ามีมูลค่าประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 5-6% ต่อปี
ในปี 2568 คาดการณ์รายได้ของ DKSH จะเติบโตไปตามทิศทางของตลาด ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับความเร็วในการส่งสินค้าเป็นอย่างแรก เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนหรือผู้ใช้บริการ ถัดมาคือคุณภาพของสินค้า เทคโนโลยีที่ตรงโจทย์กับการใช้งานของบุคคลากรทางการแพทย์
โดยโอกาสทางธุรกิจของ DKSH คือการร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทคู่ค้าต่าง ๆ โดยสามารถกระจายสินค้าและบริการไปยังบุคคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยมากกว่า 90% ทั้งโรงพยาบาลรัฐประมาณ 900-1,000 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชนประมาณ 400-500 แห่ง (ข้อมูลเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา) รองรับสังคมผู้สูงอายุ (Super Aging Society) การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และเวลเนส (Medical Tourism and Wellness) ที่รัฐบาลกำลังผลักดันและจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ จำนวนคนไข้หรือการเจ็บป่วยที่ต้องการรักษาจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง หากมองในภาวะปัจจุบันพื้นที่เขตกรุงเทพฯ อาจมีผู้มาใช้บริการทางการแพทย์ลดลง แต่ในพื้นที่รอบนอกหรือต่างจังหวัดค่อนข้างเติบโต ซึ่ง DKSH สามารถตอบสนองความต้องการของคนไข้ทั่วประเทศได้มากกว่า 95%
"ธุรกิจเครื่องมือทางการแพทย์ของประเทศไทย ยังมีปัจจัยบวกและมีโอกาสเติบโตไปตามความต้องการของประชากร นโยบายของภาครัฐก็จะยิ่งเสริมกำลังให้ตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับ DKSH ที่พยายามพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ขณะที่ปัจจัยลบมีแค่เรื่องต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่จะเป็นของผู้คน"
นายกุลชนม์ กล่าวว่า DKSH มีสาขาครอบคลุมเกือบทุกประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ เป็นต้น แต่ละประเทศจะมีทีมบริหารจัดการต่างกัน และในประเทศไทยตลาดของ DKSH ยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉี่ยงใต้
นายวรพงษ์ สุรชัยกุลวัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส แผนก Supply Chain Management หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า DKSH มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ สามารถกระจายสินค้าได้อย่างทั่วถึง ด้วยการลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยี มุ่นเน้นให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่จะต้องมีคุณภาพและเร็วที่สุดในการจัดส่ง โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องการความเร่งด่วน เช่น บางกรณีที่ผู้ป่วยมีเวลาจำกัด 6-12 ชั่วโมง
"เรานำระบบ Machine Vision System (MVS) ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยในการจัดการสินค้า ซึ่งมีความแม่นยำสูงถึง 99.8% หลังจากที่ AI ได้เรียนรู้และจดจำผลิตภัณฑ์ทุกมุม โดยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทดแทนคน แต่เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพและความเร็วในการทำงาน"
เมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา DKSH ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าเครื่องมือแพทย์ระดับภูมิภาคแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งช่วยลดเวลาในการจัดส่งสินค้าได้อย่างมาก เช่น แต่เดิมขนส่งจากกรุงเทพฯ ไป รพ.เชียงใหม่ 10 ใช้เวลากว่าชั่วโมง จะเหลือเพียง 15-20 นาที
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือแพทย์ในประเทศไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าถึงกว่า 70% การสร้างศักยภาพด้านการกระจายสินค้าในประเทศจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูประบบสาธารณสุข และ DKSH ได้ผนึกความร่วมมือกับโรงพยาบาล คลินิก และผู้ให้บริการทางการแพทย์ทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคของบริษัทฯ
นับเป็นบทบาทและกลยุทธ์สำคัญในการตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
ดังนั้น DKSH จะเดินหน้า ขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าทั่วประเทศไทยในอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทย จากแรงขับเคลื่อนของบริการสุขภาพในภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ทั้งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ต้องรับมือกับโรคเรื้อรังและส่งเสริมให้มีการป้องกันโรคมากขึ้น