รพ.วิมุต เร่งกลยุทธ์ปี 68 ดันยอดโต 40% ชี้เศรษฐกิจ-Co-Payment กระทบธุรกิจสุขภาพ

นพ.นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า โรงพยาบาลวิมุตเดินหน้าตอกย้ำการเป็น “Smart Healthcare” โรงพยาบาลเอกชนมิติใหม่ ด้วยกลยุทธ์ B.E.S.T ลุยส่งมอบ ‘ความเป็นที่สุด’ ของประสบการณ์ด้านสุขภาพให้แก่ผู้ใช้บริการ ยกระดับการดูแลสุขภาพควบคู่กับการพัฒนาเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศ (Centers of Excellence) รองรับโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และในโอกาสครบรอบ 4 ปี ยังคงยึดมั่นในพันธกิจให้บริการทางการแพทย์ในทุกมิติ ตอบโจทย์การรักษาโรคซับซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ 

โดยโรงพยาบาลวิมุตพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ ด้วยผลการดำเนินงานปี 2567 มีรายได้รวม 1,203 ล้านบาท เติบโต 35% และในปี 2568 เป้าหมายการเติบโตต่อเพิ่มอีก 40% ขณะที่คาดการณ์ในภาคอุตสาหกรรมสุขภาพไทยจะเติบโต 5.3% ต่อปี จากมูลค่า 6.7 แสนล้านบาทในปี 2568 สู่มูลค่ากว่า 8.8 แสนล้านบาทภายในปี 2573

"ท่ามกลางความท้าทายด้านสุขภาพที่ซับซ้อนและเร่งด่วนในปัจจุบัน โรงพยาบาลวิมุตยึดมั่นในหลักคิดว่าระบบสุขภาพไทยจะต้องมีความเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เพราะสุขภาพของประชากร เกี่ยวพันกับเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และโครงสร้างสังคมโดยรวม ตามยุทธศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2568-2571"

ด้าน นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุตเร่งสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันโรค การรักษา ฟื้นฟูสุขภาพ ไปจนถึงการส่งเสริมคุณภาพชีวิตในระยะยาว ภายใต้หลัก 3 ประการคือ 1. ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ที่ทำงานร่วมกันแบบสหสาขาวิชา 2. การดูแลครอบคลุมทุกมิติตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยที่ตรงจุดไปจนถึงการรักษาที่ปลอดภัย และ 3. ความรวดเร็วในทุกกระบวนการ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สะดวกและลื่นไหลในอนาคต 

ในปี 2568 โรงพยาบาลวิมุตถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วง 3 เดือนแรกจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจจนทำให้การเติบโตยังไม่เต็มที่ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังหรือช่วงไฮซีซั่น-หน้าฝน คาดว่าจะเติบโตเต็มที่ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี โดยวางแผนเพิ่มกลุ่มลูกค้าคนไข้ชาวต่างชาติให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จีน อาหรับ CLMV จากเดิมมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 10% เพิ่มขึ้นเป็น 15-20% ซึ่งต้องดูสถานกาณณ์และทิศทางเศรษฐกิจต่อไป

"สถานการณ์ของธุรกิจในประเทศไทยตอนนี้ถือว่าครอปลงค่อนข้างมาก ธุรกิจทางการแพทย์หรือธุรกิจโรงพยาบาลก็เช่นเดียวกัน คนไข้ลดน้อยลง การลงทุนน้อยลง โดยหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงคือเรื่อง Co-Payment คือ การมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล ทำให้คนไข้มีความกังวล ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจให้มากขึ้น โดยโรงพยาบาลวิมุตจะเดินหน้ายกระดับ 3 ศูนย์การรักษาโรคหัวใจ ทางเดินอาหาร และปอด รวมถึงโรค NCDs เพื่อให้ยอดการเติบโตในปีนี้เป็นไปตามแผน และเพิ่มแผนกตรวจสมองในอนาคต"

อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลวิมุต ได้เดินหน้าตอบสนองต่อเทรนด์สุขภาพโลก นำแนวโน้มสุขภาพโลกและในเมืองไทยมาพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศ เพื่อตอบโจทย์โรคเฉพาะทางที่ซับซ้อน โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 4 แสนรายต่อปี ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจถึง 1.6 ล้านล้านบาท หรือ 9.7% ของ GDP ประเทศ โดยพัฒนาศูนย์ดูแล NCDs แบบครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหารและตับ สมอง เบาหวาน กระดูก และการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของสังคมไทยในปัจจุบัน

รวมถึงการเปิด 'ศูนย์สุขภาพปอดวิมุต' ตอบสนองต่อวิกฤตมลพิษและโรคระบบทางเดินหายใจที่กำลังทวีความรุนแรง เพราะโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคโควิด-19, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง นับเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตหลักของผู้คนทั่วโลก สะท้อนความมุ่งมั่นในการยกระดับการดูแลสุขภาพ ที่สอดรับเมกะเทรนด์โลกอย่างแท้จริง