นายแบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ในปี 2019 ผู้คนทั่วโลกประมาณ 528 ล้านคนเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งประมาณ 73% ของผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมีอายุมากกว่า 55 ปี และ 60% เป็นผู้หญิง ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่า 6 ล้านคน จากการศึกษาพบว่า 70% ของผู้ที่มีอาการปวดเข่าไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากขึ้นในระยะยาว
ดังนั้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จึงได้จัดงาน “Move Freely, Live Fully” At the Advanced Arthritis & Arthroplasty Center (AAA), we help patients regain mobility and a good quality of life เพื่อเน้นย้ำถึงสถานการณ์ในประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ด้วยสัดส่วนผู้สูงอายุสูงถึง 20.7% ของประชากร หรือคิดเป็น 13.65 ล้านคน ทำให้เกิดโรคข้อเสื่อม ซึ่งสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทวีความรุนแรงขึ้น
“ข้อเสื่อม” คือหนึ่งในโรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้สูงวัย โดยเฉพาะที่ข้อเข่าและข้อสะโพก แม้โรคนี้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และด้วยความมุ่งมั่นที่จะคืนคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้ป่วย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์จึงได้ก่อตั้ง “ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์” พร้อมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่จะช่วยให้การรักษาครอบคลุม ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไปจนถึงเคสยากและมีความซับซ้อนสูง
โดยในปี 2568 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการจัดอันดับจาก Newsweek ให้เป็น “Asia’s Top Private Hospitals 2025” อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย จาก 90 โรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุด ทั้งด้าน การผ่าตัดเข่าและผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม รวมถึง การผ่าตัดสะโพกและผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอีกครั้ง
ศ.นพ. อารี ตนาวลี แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม และหัวหน้าศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ปัญหาโรคข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัยทำงานที่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตแบบนั่งนาน ไม่ค่อยขยับร่างกาย หรือเล่นกีฬาผิดท่า
ปัจจัยเหล่านี้อาจเร่งให้เกิดภาวะข้อเสื่อมเร็วขึ้นได้ ทำให้ปัญหาข้อเสื่อมกลายเป็นเรื่องของคนทุกวัย และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ความเสื่อมจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ติดขัด ข้อผิดรูป และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
ทั้งนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยอย่างครอบคลุม ด้วย ทีมศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ ภายใต้ระบบ Case Conference เพื่อร่วมกันวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ และมี Monthly Monitoring Meeting เพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาและคุณภาพการบริการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งยังใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น การผสมผสานเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (MIS) ร่วมกับเทคนิคคุมปวดแบบพิเศษ (Minimal Pain Arthroplasty) ที่เรียกว่า Opioid-Free Anesthesia ที่ช่วยลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว และกลับไปใช้ชีวิตได้โดยเร็วที่สุด โดยมี ระบบการฟื้นฟูหลังผ่าตัดที่ชัดเจน (Milestone Recovery Program) ซึ่งเน้นย้ำ 3 เกณฑ์หลักก่อนผู้ป่วยกลับบ้าน ได้แก่ ความปลอดภัยสูงสุด (Patient Safety) การฟื้นฟูให้เคลื่อนไหวได้ดี (Patient Ability) และสร้างความมั่นใจในการกลับไปใช้ชีวิต (Patient Confidence) เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่มีคุณภาพและยั่งยืน
นพ.ชาลี สุเมธวานิชย์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้กล่าวว่า การผ่าตัดข้อเข่าและข้อสะโพก ในกรณีที่มีความซับซ้อนสูง (Complex Primary Joint Replacement) ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์อันยาวนานของศัลยแพทย์ และการวางแผนการผ่าตัดที่แม่นยำในทุกมิติ
นอกจากนี้ การผ่าตัดซ่อมเสริมหรือเปลี่ยนข้อเทียมใหม่ (Revision Joint Replacement Surgery) จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ถึงแม้ข้อเข่าและข้อสะโพกเทียมจะมีอัตราการอยู่รอดสูงถึง 95% ในช่วง 10-15 ปี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเทียมเดิมอาจเกิดปัญหา เช่น หลวม เคลื่อน ติดเชื้อ หรือกระดูกรอบข้อหัก การผ่าตัดครั้งที่สองนี้จึงมีความซับซ้อนกว่าครั้งแรกมาก ดังนั้นความพร้อมทั้งบุคลากร เทคโนโลยี จะทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ผศ.นพ. สีหธัช งามอุโฆษ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-Assisted Joint Replacement) ก็เป็นส่วนสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (THR) การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน (UKA) และการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด (TKA) ไม่เพียงแต่ช่วย เพิ่มความแม่นยำในการวางตำแหน่งของข้อเทียม และ ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ช่วยลดการสูญเสียเลือด ยืดอายุการใช้งานของข้อเทียม และนำไปสู่ผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยในยุคปัจจุบันและอนาคต
นพ. สุรพจน์ เมฆนาวิน แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ด้านแนวทางการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมและเฉพาะบุคคล (Seamless Patients Journey and Personalized Care) จะครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัย ไปจนถึงการฟื้นฟูและติดตามผล เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย ฟื้นตัวไว ลดภาวะแทรกซ้อน และลดระยะเวลาการพักฟื้นในโรงพยาบาล สะท้อนถึงคุณภาพการรักษา โดยมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน