ศาสตราจารย์ นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ครบรอบ 13 ปี สำหรับโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ และปี 2568 กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 14 ในฐานะ 1 ในโรงพยาบาลเครือข่ายของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล โดยอยู่ในรูปแบบการให้บริการแบบเอกชน ภายใต้การกำกับของหน่วยงานภาครัฐ ที่ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาตามมาตรฐานของโรงพยาบาลศิริราช
โดยรายได้ของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ตลอด 12 ปี ที่ผ่านมาเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วได้นำส่วนที่เหลือหรือกำไร ส่งไปช่วยเหลือคนไข้ในโรงพยาบาลศิริราชกว่า 7,000 ล้านบาท ทั้งคนไข้บัตร 30 บาท คนไข้ประกันสังคม และคนไข้ข้าราชการชั้นผู้น้อยจำนวนมาก ซึ่งในปี 2567 โรงพยาบาลศิริราชทำสถิติมีคนไข้ผู้ป่วยนอก (OPD) มากที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการราว 4.8 ล้านคน เฉลี่ยผู้ใช้บริการเครือข่ายโรงพยาบาลศิริราชประมาณ 2.2 หมื่นคนต่อวัน และส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมาจากโรงพยาบาลทุกแห่งในประเทศไทย
ศาสตราจารย์ นายแพทย์อภิชาติ กล่าวว่า การทำงานของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ทำงานสนับสนุนโรงพยาบาลศิริราชให้มีความยั่งยืน ในปี 2568 มีแผนงานเปิดตึกหอผู้ป่วย ICU เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับคนไข้ผู้สูงอายุที่มีหลายโรครุมเร้าและซับซ้อน ทั้งเปิดวอร์ดดูแลคนไข้อาการหนักช่วยเหลือทางด้านการหายใจ รวมทั้งใช้เทคโนโลยี AI หุ่นยนต์ เพื่อเข้ามาช่วยในการผ่าตัดต่างๆ
"ปัจจุบันเรามีผู้ป่วยประมาณ 2,500 คนต่อวัน ผู้ป่วยในแอดมิทกว่า 400 เตียง และพบผู้ป่วยในระบบเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี ขณะนี้กำลังหาโอกาสขยายพื้นที่ วางแผนเพื่อรองรับคนไข้มากขึ้นภายในปี 2568 โดยจะเพิ่มทั้งเตียงแอดมิทและเตียง ICU แน่นอนว่าเราจะเพิ่มการพัฒนาระบบ เทคโนโลยี เพื่อให้มั่นใจว่ามีการบริการเป็นเลิศสำหรับผู้ป่วย ขณะที่บุคคลากรทางการแพทย์ค่อนข้างมีอย่างจำกัด เราพยายามดึงบุคคลากรให้อยู่ในระบบมากที่สุด ซึ่งอัตราการลาออกมีน้อยมาก และในระบบของเครือข่ายโรงพยาบาลศิริราชก็ยังมีบุคคลากรเกือบ 2.3 หมื่นคน"
ทั้งนี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีอายุครบรอบ 137 ปี บุคคลากรต่างมุ่งมั่นทุ่มเทปฏิบัติงานตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็น ‘สถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน’ โดยมีภารกิจในการดูแลผู้ป่วยทุกฐานะ โดยผู้ป่วยที่โรงพยาบาลศิริราชเพิ่มมากขึ้นในทุกปี และค่อนข้างจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีขั้นสูงในการรักษา ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาของผู้ป่วยสูงมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับงบประมาณ จากการบริการสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและประกันสังคม
ดังนั้น โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ จึงเป็นหนึ่งโครงการของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ด้วยแนวคิด ‘ผู้รับ ผู้ให้’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้จากการบริการทางการแพทย์คืนสู่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ศิริราช
ศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤตย์วิกรม ดุรงค์พิศิษฏ์กุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ กล่าวว่า โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ได้วางแผนการให้บริการและดูแลผู้ป่วยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยวิกฤต ในปี พ.ศ. 2567 จึงได้เปิดบริการ Respiratory Care Unit (RCU) เพื่อดูแลผู้ป่วยวิกฤตทางเดินหายใจโดยแยกพื้นที่พิเศษ เพื่อการดูแลเฉพาะทางที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจอย่างรุนแรง หรือจำเป็นต้องได้รับการช่วยหายใจอย่างใกล้ชิด
เช่น ผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรังระยะรุนแรง ผู้ที่ติดเชื้อในปอดอย่างรุนแรง พร้อมกันนี้จะการขยายพื้นที่ผู้ป่วยวิกฤต ICU เพิ่มในช่วงปลายปี 2568 โดยเปิดบริการเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 17 เตียง โดยจำนวนเตียงรวมทั้งสิ้น 89 เตียง รวมทั้งมีแผนการเปิด
High Dependency Unit (HDU) เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังใกล้ชิดเป็นพิเศษ สำหรับดูแลผู้ป่วยที่อาการรุนแรง ‘ระดับกลาง’ คือ อาการยังไม่ถึงขั้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือยังไม่รุนแรงที่จะต้องเข้า ICU และส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่มีอายุมาก ต้องการการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ตลอดจนมีภาวะเปราะบางและต้องการการบริบาลแบบใส่ใจใกล้ชิด
ในส่วนของการพัฒนามาตรฐานการรักษา ทางโรงพยาบาลก็ได้ยกระดับการดูแลรักษาผ่านการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ เทคโนโลยี AI ปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาช่วยและสนับสนุนเพื่อวิเคราะห์และสร้างความแม่นยำในการวินิจฉัยและรักษามากยิ่งขึ้น รวมทั้งการนำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-assisted da Vinci Surgery) มาใช้ในหัตถการที่ต้องการความละเอียดสูง ทั้งการผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ การผ่าตัดในช่องท้อง ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าและสะโพกเทียม โดยทำหน้าที่ควบคู่กับศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญการผ่าตัด ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ทั้งความปลอดภัย เพิ่มโอกาสการกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติให้กับผู้ป่วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาที่เรายึดมั่น คือ การดูแลด้วยหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรของ SiPH อย่างเต็มความสามารถ ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่ส่งต่อกันมาจากศิริราชสู่ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งต่อไปยังผู้ป่วยที่โรงพยาบาลศิริราชให้มีโอกาสได้รับการรักษา และเป็นการขยายการบริการทางการแพทย์ให้เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการ