KEY
POINTS
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานบริษัท บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP กล่าวว่า วางเป้ารายได้ปีนี้ 900-1,000 ล้านบาท เดินเกม “Own Brand และ ออนไลน์” เป็นเครื่องยนต์หลัก หนุนอัตรากำไรขั้นต้น (GP) เฉลี่ยราว 40%
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่กดกำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่ “กล้าใช้เงินน้อยลง” และหันสู่แนวคิดดูแลสุขภาพแบบ “longevity 0 บาท” ช่วงเศรษฐกิจชะลอคือบททดสอบความแข็งแกร่ง แต่องค์กรยังเติบโตได้จากการจับกลุ่มสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ซึ่งมีกำลังซื้อและใช้เงินเก็บโดยไม่พึ่งวัฏจักรเศรษฐกิจระยะสั้น
โครงสร้างรายได้ของ JSP พึ่งพาแบรนด์ในเครือ Own Brand เป็นหลัก โดย Own Brand คิดเป็น 42% ของรายได้รวมและให้มาร์จินดีกว่า OEM หากขายผ่านโฮมชอปปิง บริษัทรับส่วนแบ่ง 50% ขณะที่การขายผลิตภัณฑ์ของผู้อื่นจะได้เพียงราว 25%
ขณะเดียวกันเมื่อขายผ่านช่องทางออนไลน์ของตนเอง บริษัทรับรู้รายได้ 100% ก่อนหักค่าคอมมิชชันผู้ขายหรือผู้ติดตะกร้า 20–30% ทำให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ใกล้ระดับ 40% เป้าหมายเชิงโครงสร้างคือดันรายได้ Own Brand เติบโตแบบ CAGR 15–20%
โดยจัดพอร์ตสินค้าใหม่เฉลี่ยปีละราว 10 รายการ โดยยอมรับสมการ “7 ตัวไม่รอด 2 ตัวพอไปได้ และ 1 ตัวคือ ‘ตัวทำกำไร’” เพื่อสร้าง New S-Curve ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เรือธงล่าสุดอย่าง “สุภาพโอสถน้ำมันงาดำรำข้าว” ทำยอดแซงสินค้าที่เคยขายดีแล้ว
ด้านช่องทางจำหน่าย ปัจจุบันยอดขาย Own Brand ในไตรมาส 2 มาจากโฮมชอปปิงราว 80% และออนไลน์ 20% ซึ่งมองว่าการโตแบบก้าวกระโดดในโฮมชอปปิงทำได้ยากขึ้น จึงเร่งย้ายแรงขับไปสู่โลกดิจิทัลที่มีฐานตลาดใหญ่กว่า วางเป้า 5 ปีให้สัดส่วนออนไลน์ขึ้นมาเทียบเท่าโฮมชอปปิง
สำหรับกลยุทธ์สำคัญคือการสร้างทีมครีเอเตอร์ ทั้ง TikToker และ Influencer จัดกิจกรรมพาเยี่ยมชมโรงงานเพื่อเสริมแบ็กกราวด์ความน่าเชื่อถือและความเอ็กซ์คลูซีฟ ควบคู่การปักหมุดบนมาร์เก็ตเพลสหลักอย่าง Shopee และ Lazada พร้อมกันนั้น JSP ยังรักษาความเป็นผู้นำในหลายช่องโฮมชอปปิงในหมวดอาหารเสริมเพื่อคงแรงส่งรายได้ระยะสั้น
ขณะที่แผนธุรกิจต่างประเทศ บริษัทเดินหน้าขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เรือธงในกลุ่ม CLMV โดย “เมียนมา” ถูกวางเป็นตลาดเป้าหมายอันดับหนึ่งจากกำลังซื้อที่สูงและการสะสม Brand Equity มายาวนานกว่า 10 ปี ในอนาคต JSP จะร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมช่องทางจำหน่ายผ่านบัญชีในต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงผู้บริโภคข้ามพรมแดนและช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดในประเทศ
อีกขาหนึ่งของการเติบโตมาจากธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้ายาอัตโนมัติ (Vending Machine) ปัจจุบันติดตั้งครบแล้ว 200 ตู้และตั้งเป้าในอาคต 500 ตู้ จากที่เคยได้ให้สัมภาษณ์ ส่วนใหญ่อยู่ในคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ โดยบริษัทประเมินผลงานแต่ละจุดอย่างใกล้ชิดและพบว่าต้องย้ายทำเลราว 30–40% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อพื้นที่จากข้อมูลหน้างานที่เก็บได้ JSP ยังเตรียมต่อยอด “สื่อโฆษณาบนตู้” โดยใช้ดาต้าพฤติกรรมการซื้อแบบรายโลเคชันนำเสนอโซลูชันให้บริษัทยาและสุขภาพยิงสื่อได้ตรงกลุ่ม
ปลายทางที่บริษัทมองว่าเป็น “ตัวทำกำไร” ของธุรกิจตู้จริง ๆ คือ Telepharmacy หรือการขายยา OTC ผ่านระบบทางไกล ซึ่งหากได้รับการรองรับด้านกฎหมายเต็มรูปแบบ จะช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาลและลดภาระงบของ สปสช. ได้
อย่างไรก็ตามการผลักดันต้องอาศัยความร่วมมือหลายหน่วยงาน ทั้ง สปสช. สบส. อย. สภาแพทย์ และสภาเภสัช ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอาจทำให้กระบวนการต้องเริ่มใหม่และกินเวลานานเป็นปี บริษัทจึงเดินเกม “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” ด้วยการเก็บฐานข้อมูล เช็กดีมานด์จริง และเตรียมโครงสร้างหลังบ้านให้พร้อมเมื่อหน้าต่างนโยบายเปิด
บนยุทธศาสตร์ทุน JSP ใช้ตลาดทุนเป็น “แพลตฟอร์มพันธมิตร” มากกว่าพื้นที่เก็งกำไร โดยล่าสุดนำบริษัทย่อย Get Watermate (GWM) ซึ่ง JSP ถือหุ้น 52% เข้าจดทะเบียนใน LiVE Exchange สำเร็จแล้ว และวางคิวถัดไปคือ CDIP ซึ่งมีโอกาสเข้าตลาดช่วงปลายปีหน้า
วัตถุประสงค์การเข้าตลาด LiVE ชัดเจนว่าไม่เน้นการซื้อขายหรือระดมทุนใหญ่ เพราะยังเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ แต่เน้น 3 มิติ ได้แก่ การหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับ High Net Worth เข้ามาเติมความเชี่ยวชาญ การสร้างแรงจูงใจพนักงานผ่านการถือหุ้น และการเปิดทางให้ Private Equity และ VC เข้าถึงข้อมูลเพื่อร่วมโตไปกับธุรกิจ ผลพลอยได้คือภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าต่างประเทศและ “ดีลการเงิน” ที่ดีขึ้น ช่วยลดต้นทุนเงินทุนของกลุ่ม
CDIP เป็นอีกแกนสำคัญในโครงสร้าง JSP และเดิน 3 ธุรกิจหลักควบคู่กัน ได้แก่ งานวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อโรงงานยา อาหารเสริม และงานในเครือ โดยมีจุดแข็งด้านความคิดสร้างสรรค์จากทีมวิจัยระดับปริญญาเอกในอุทยานวิทยาศาสตร์ ธุรกิจ Training ที่เน้นเวิร์กช็อปภาคปฏิบัติจริงอย่างการทำเม็ดยา
ซึ่งทำแบบออนไลน์ไม่ได้และใช้ผู้ประกอบการตัวจริงเป็นวิทยากร สุดท้ายคือการร่วมถือธุรกิจ Vending Machine เพื่อนำตู้มาเป็น “สนามทดสอบสินค้าใหม่” ให้ลูกค้า R&D วัดผลรีลไทม์ นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในกลุ่ม Health Tech โดยมองว่าวัฏจักรวิกฤตเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเจอบริษัทคุณภาพที่ต้องการสภาพคล่องและความแข็งแรงทางการเงิน