เตือน! 90% ของเชื้อ HPV มาจากการมีเพศสัมพันธ์ ตรวจเร็ว‑ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็ง

01 ส.ค. 2568 | 22:15 น.

90% ของเชื้อ HPV ติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ "แพทย์ รพ.วิมุต" ย้ำเตื่อน ตรวจเร็ว‑ฉีดวัคซีนไว ก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก

หนึ่งในไวรัสอันตรายที่ทำให้เกิดโรคร้ายในระบบสืบพันธุ์คือไวรัส HPV เพราะเมื่อติดแล้วแทบไม่แสดงอาการใด ๆ ในระยะแรก และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่รุนแรงถึงขั้นกลายเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก

ซึ่งกรมการแพทย์ระบุว่าเป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 5,422 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 15 คน และเสียชีวิตถึงวันละ 6 คน ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า HPV ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และอาจนำไปสู่โรคร้ายหากไม่ป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

วันนี้ นพ.กษิติ เที่ยงธรรม สูตินรีแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งวิทยานรีเวช ศูนย์สูตินรีเวช รพ.วิมุต จึงอยากชวนทุกคนไปรู้จัก HPV ให้ลึกขึ้น พร้อมไขข้อสงสัยทุกความเชื่อผิด ๆ ที่ทำให้เราห่างไกล HPV ได้ดีกว่าเดิม

HPV คืออะไร ทำไมจึงอันตราย

HPV (Human Papillomavirus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่นำไปสู่การเป็นโรคหูดและโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเชื่อมโยงกับ HPV ประมาณ 14 สายพันธุ์ จากกว่า 200 สายพันธุ์ที่มีอยู่ ส่วนใหญ่ถ้าร่างกายมีภูมิต้านทานปกติจะสามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เองภายใน 2 ปี โดยไม่มีอาการใด ๆ ซึ่งการติดเชื้อจะน่ากังวลก็ต่อเมื่อเชื้ออยู่ในร่างกายนานหรือติดสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงก่อโรคสูง

กว่า 90% ติดเชื้อ HPV จากการมีเพศสัมพันธ์

การติดเชื้อ HPV แทบทั้งหมดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากไวรัสชนิดนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนังบริเวณที่มีแผล ซึ่งเป็นทางที่เชื้อสามารถเข้าไปในร่างกายได้ แม้จะเป็นแผลเล็กระดับไมโคร เช่น เยื่อบุอ่อนของช่องคลอดที่เวลาเสียดสีจะเกิดแผลขนาดเล็ก ๆ ได้ง่ายระหว่างกิจกรรมทางเพศ โดยไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ ใช้นิ้ว หรืออุปกรณ์อื่นก็ล้วนมีความเสี่ยงเท่า ๆ กัน 

นพ.กษิติ เที่ยงธรรม อธิบายว่า “หลายคนกังวลว่าการใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือใช่สิ่งของร่วมกันจะทำให้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นไปได้ แต่โดยทั่วไปการติดเชื้อที่ปากช่องคลอด มักไม่ได้ก่อโรคหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งน้อยมากและในชีวิตประจำวันเราแทบไม่มีโอกาสสัมผัสบริเวณนั้นโดยตรง

นพ.กษิติ เที่ยงธรรม

นอกจากการมีเพศสัมพันธ์ ที่น่ากังวลกว่านั้นคือเมื่อติดเชื้อแล้วมักจะไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้เราไม่รู้ว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย ดังนั้นการตรวจคัดกรองสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อจะได้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะพัฒนาไปสู่หูดหรือมะเร็งอันตราย"

รู้ให้ชัดก่อนตรวจคัดกรอง! ตรวจ Pap smear ไม่เท่ากับตรวจเชื้อ HPV

การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมี 2 วิธีหลัก ได้แก่ การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) ซึ่งเป็นการเก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ วิธีนี้อาจไม่แม่นยำมากนัก เพราะความผิดปกติที่พบอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อ HPV เสมอไป และมักเกิดความเข้าใจผิดว่าการตรวจ Pap Smear เพียงอย่างเดียวก็ครอบคลุมการตรวจหาเชื้อ HPV แล้ว

 ทั้งที่จริงไม่ใช่ เพราะมีการตรวจอีกวิธีคือ HPV DNA Test ที่เป็นการตรวจหาเชื้อ HPV ในร่างกายโดยตรง ซึ่งช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้แม่นยำกว่า ในปัจจุบันแนะนำเป็นการตรวจคัดกรองโดยหารหาเชื้อ HPV (Primary HPV testing) หรือจะทำร่วมกับการดูเซลล์ที่ปากมดลูกก็ได้ (Co-testing)

เตือน! 90% ของเชื้อ HPV มาจากการมีเพศสัมพันธ์ ตรวจเร็ว‑ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็ง

โดยแนะนำให้ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจคัดกรองสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 25 ปี และตรวจซ้ำทุก 3–5 ปี ตามคำแนะนำของแพทย์ นพ.กษิติ เที่ยงธรรม อธิบายเสริมว่า "เมื่อผลตรวจพบเชื้อ HPV บางคนอาจสงสัยเชื้อมาจากใครหรือจากพฤติกรรมอะไร แต่ความจริงคือการตรวจบอกได้เพียงว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกายหรือไม่ ไม่ได้บอกกว่าติดมานานแค่ไหนหรือติดมาจากใคร ดังนั้นจึงไม่ควรด่วนสรุปว่าเราได้รับเชื้อมาจากใคร เพราะเชื้ออาจแฝงตัวอยู่นานหลายปีแล้วก็ได้”

ติดเชื้อ HPV หรือพบเซลล์ผิดปกติ ไม่ได้เป็นมะเร็งทันที

การตรวจคัดกรองเป็นเพียงการค้นหากลุ่มที่มีความเสี่ยง ไม่ใช่การวินิจฉัย เมื่อผลตรวจ Pap Smear หรือผลตรวจ HPV ออกมาผิดปกติ หมายความว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ควรติดตามหรือทำการตรวจเพิ่มเติม โดยแพทย์จะประเมินว่าจะเฝ้าดู นัดมาตรวจซ้ำ หรือส่องกล้องขยายปากมดลูกต่อไป โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่พบมะเร็ง และเซลล์เหล่านี้มักกลับสู่ปกติเมื่อร่างกายกำจัดเชื้อ HPV ได้

ห่างไกล HPV ด้วยวัคซีน ยิ่งฉีดไว ยิ่งได้ผลดี ผู้ชายก็ฉีดได้

วัคซีน HPV ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกและโรคหูด โดยกลุ่มอายุ 9–14 ปี ควรได้รับวัคซีน 2 เข็ม เนื่องจากเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองได้ดีที่สุด และมักยังไม่เคยเพศสัมพันธ์ ส่วนในช่วงอายุ 15–46 ปี ยังสามารถฉีดได้ แต่ต้องฉีดครบ 3 เข็ม

โดยประสิทธิภาพอาจลดลงเล็กน้อยหากเคยติดเชื้อมาก่อน "ผู้ชายก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันหูดและลดการแพร่เชื้อสู่ผู้หญิงได้ โดยปัจจุบันตัววัคซีนมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย มักพบแค่เพียงอาการปวดบริเวณที่ฉีด ย้ำเตือนว่าผู้หญิงที่ฉีดวัคซีน HPV แล้วก็ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถกำจัดเชื้อ HPV ในร่างกายที่เคยติดมาก่อน และไม่ได้ครอบคลุมสายพันธุ์เสี่ยงทั้งหมด" นพ.กษิติ เที่ยงธรรม อธิบาย

ป้องกัน HPV เริ่มจากดูแลตัวเองให้ถูกวิธี

นอกจากการฉีดวัคซีน การปรับพฤติกรรมก็ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV และมะเร็งปากมดลูก เช่น การใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ช่วยป้องกันเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน 

เตือน! 90% ของเชื้อ HPV มาจากการมีเพศสัมพันธ์ ตรวจเร็ว‑ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็ง

เนื่องจากยิ่งมีคู่นอนมาก หรือมีคู่นอนที่เคยมีคู่อื่นมาก่อน ความเสี่ยงในการติดเชื้อจะยิ่งสูงขึ้น รวมถึงเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง เพื่อให้ร่างกายกำจัดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เข้าใจว่าบางคนอาจกลัวหรือคิดว่าจะตรวจไปทำไมในเมื่อไม่มีอาการอะไร แต่จริง ๆ แล้วการตรวจคัดกรองไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ยิ่งเราหมั่นตรวจอย่างสม่ำเสมอก็ยิ่งช่วยปกป้องสุขภาพในระยะยาว เพราะหากพบเชื้อ HPV เร็ว ก็สามารถเฝ้าติดตามได้อย่างใกล้ชิดก่อนจะกลายเป็นหูดหรือมะเร็งที่อันตราย และเมื่อเสริมด้วยวัคซีน ก็จะยิ่งลดความเสี่ยงติดเชื้อ HPV ได้มากขึ้น” นพ.กษิติ เที่ยงธรรม กล่าวทิ้งท้าย