วันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี ถือเป็น “วันงดสูบบุหรี่โลก” (World No Tobacco Day) ซึ่งเริ่มจัดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ปี 1988 เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่ทั่วโลกเลิกสูบ และสร้างความตระหนักให้กับรัฐบาลและประชาชน ถึงอันตรายของบุหรี่ที่ไม่เพียงส่งผลกับผู้สูบเอง แต่ยังมีผลกระทบต่อผู้ไม่สูบที่ต้องได้รับควันบุหรี่ หรือที่เรียกว่า “ควันบุหรี่จากผู้อื่น”
โดยข้อมูลจาก WHO ระบุว่า บุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งสามารถป้องกันได้ การสูบบุหรี่ทั่วโลกคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 8 ล้านคนต่อปี และมีผู้ที่ไม่ได้สูบแต่ได้รับควันบุหรี่กว่า 1.2 ล้านคนที่เสียชีวิตในแต่ละปี
ประเทศไทยเองก็มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง โดยปี 2568 นี้ WHO ตั้งคำขวัญรณรงค์ว่า "กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคตินเสพติด จน ตาย" เพื่อเตือนใจให้ผู้สูบบุหรี่ตัดสินใจเลิก และสนับสนุนให้รัฐบาลเพิ่มความเข้มงวดทางนโยบาย ควบคุมยาสูบอย่างเข้มข้น
ในแง่กฎหมายประเทศไทยมีมาตรการหลายอย่างที่ตอบรับกับแนวทาง WHO เช่น การแสดงภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ซึ่งมีความชัดเจนมากขึ้น และมีข้อบังคับให้ซองบุหรี่แบบเรียบ เพื่อไม่ให้บุหรี่ดูน่าดึงดูด
ทั้งนี้ในปี 2566 ที่ผ่านมา การสำรวจพบว่า อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลดลงจาก 19.9% ในปี 2558 เหลือประมาณ 17.9% ในปี 2566 โดยมีมาตรการเข้มงวดทั้งการขึ้นภาษีบุหรี่และมาตรการห้ามสูบในพื้นที่สาธารณะ
นอกจากคำขวัญแล้ว “วันงดสูบบุหรี่โลก” ยังมีสัญลักษณ์เป็นดอกลีลาวดี (หรือดอกลั่นทม) ซึ่งมีความหมายว่า การ “ละทิ้งความระทม” หรือ “เลิกความทุกข์” เปรียบเสมือนการเลิกสูบบุหรี่เพื่อละทิ้งความเจ็บป่วยและความทุกข์ที่มาจากการสูบบุหรี่
ด้วยเหตุนี้ วันงดสูบบุหรี่โลกจึงไม่ใช่แค่วันที่ให้เลิกสูบ แต่เป็นวันที่เตือนให้ทุกฝ่ายเห็นความสำคัญของการป้องกันโรคร้ายจากบุหรี่ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ และช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับโรคจากการสูบบุหรี่ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี
สรุปแล้ว “วันงดสูบบุหรี่โลก 2568” เป็นโอกาสที่รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนจะร่วมมือกันผลักดันมาตรการควบคุมบุหรี่ที่เข้มแข็ง เพื่อเป้าหมายสำคัญคือ ลดจำนวนผู้สูบบุหรี่และลดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว