หากจะมองปัญหาระบบสาธารณสุขอย่างผิวเผิน หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องของเงินทอง แต่เมื่อขุดลึกลงไป จะพบว่าปัญหามีความซับซ้อนหลายมิติที่เชื่อมโยงกัน สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบที่สร้างมาเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชน
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา หรือ "หมอวี" ให้สัมภาษณ์กับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงปัญหาในระบบมีหลายอย่างมาก ทั้งเรื่องเบิร์นเอาท์หมดแรง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดนทำร้ายเจ้าหน้าที่" หมอวีระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคลากรทางการแพทย์
ปัญหาเบิร์นเอาท์ หรือ ภาวะหมดแรงจากการทำงาน กลายเป็นปัญหาใหญ่ในวงการแพทย์ไทย เมื่อบุคลากรต้องทำงานหนักเกินขีดจำกัด ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น แต่จำนวนบุคลากรไม่เพิ่มตาม หรือในบางกรณีกลับลดลงเนื่องจากการลาออก
เหตุการณ์หมอขับรถชนตายหลังโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นปลายปีที่แล้ว เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและความเครียดที่สะสมของบุคลากรทางการแพทย์
นอกจากความเหนื่อยล้าจากการทำงานแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องเผชิญกับความรุนแรงจากผู้ป่วยและญาติที่เพิ่มขึ้น "มีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายร่างกาย" หมอวีกล่าวถึงปัญหานี้ด้วยความกังวล
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลมีสาเหตุหลายประการ ทั้งจากความไม่พอใจในการให้บริการ ความเครียดของผู้ป่วยและญาติ รวมถึงการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน แต่สิ่งเหล่านี้กลับส่งผลให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานภายใต้ความกดดันและความไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น
ปัญหาที่ละเอียดอ่อนที่สุดคือเรื่องเงินทอง หมอวีชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในการมองปัญหานี้
"ปัญหาของหมอพยาบาลคืออะไรรู้ไหม คือเวลาที่เราพูดเรื่องเงินทอง เราจะถูกสังคมด่า สังคมจะว่าเราว่า เฮ้ย คุณเป็นหมอ คุณรายได้เยอะอยู่แล้ว คุณเลือกมาเอง หรือหมอพูดถึงเงิน เห็นแก่เงิน อะไรอย่างนี้"
ทัศนคติของสังคมที่มองว่าหมอพยาบาลไม่ควรพูดถึงเรื่องเงิน หรือต้องทำงานเพื่อสังคมโดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน กลายเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหา เพราะหมอพยาบาลบุคลากรก็เป็นคน ก็ต้องมีพ่อมีแม่ต้องดูแลเหมือนกัน หลายคนที่มีครอบครัวก็ต้องดูแลครอบครัวเหมือนกัน เราต้องมองเขาในฐานะที่เป็นคนคนหนึ่ง เขาจะต้องมีรายได้ที่พอเหมาะกับค่าแรงที่เขาเสียไป
ปัญหาที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เสียขวัญมากที่สุดคือการที่รัฐสัญญาจะให้เงินพิเศษต่างๆ แต่เมื่อถึงเวลาตกเบิกกลับไม่ได้รับ
"รัฐสัญญาว่าจะให้เงินอย่างนี้ เช่น พ.ต.ท. พิเศษต่างๆ โอที แต่พอถึงเวลาตกเบิก ถึงเวลาไม่ได้เงินแล้วทำไง เขาผ่อนมอไซค์อยู่ เขาผ่อนรถยนต์อยู่ จะให้เขาทำยังไงล่ะ"
ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของบุคลากรเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อระบบและนโยบายของรัฐ ซึ่งส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการทำงาน
เมื่อรัฐไม่สามารถจ่ายเงินที่สัญญาไว้ได้ โรงพยาบาลจำเป็นต้องหาทางแก้ปัญหา "โรงพยาบาลไม่อยากให้หมอหรือพยาบาลมีความเดือดร้อน เขาก็จะเอาเงินบำรุงไปจ่าย เพราะว่าเงินต้นมันไม่มา เงินบำรุงก็เลยร่อยไป"
นี่คือจุดเริ่มต้นของวังวนปัญหา เมื่อเงินบำรุงที่ควรจะใช้ในการพัฒนาโรงพยาบาลและซื้ออุปกรณ์การแพทย์ กลับต้องนำมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า จนในที่สุดเงินบำรุงก็หมดไป
หมอวีเล่าถึงประสบการณ์หลังจากที่โพสต์ของเขาออกไป ว่าได้รับการตอบรับจากเพื่อนร่วมวิชาชีพอย่างไร
"มีพี่น้องในวงการเล่าอะไรให้ฟังมากมาย ทุกคนมองเป็นปัญหาหมด ทุกคนที่ทำงานในระบบสาธารณสุข ทุกคนที่ปฏิบัติงานเขารู้ เวลาผมพูด ทุกคนช่วยผมยืนยันได้ แต่ผู้ที่แก้ปัญหากลับบอกว่าไม่มีปัญหา นั่นแหละ มันจึงแก้ปัญหาไม่ได้"
ช่องว่างระหว่างความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่กับการรับรู้ของผู้บริหารระดับสูงเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่เกิดขึ้น
หมอวีวิเคราะห์ถึงโครงสร้างการบริหารที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหา ต้องฟังหน้างานจริงๆ อย่าไปฟังจากบุคคลที่อยู่รอบข้างท่าน อาจจะพูดขวางท่านไม่ได้ ต้องสังเกต ประเทศเราปกครองโดยนักการเมือง ข้าราชการประจำต้องเอาอกเอาใจนักการเมือง ถ้านักการเมืองบอกว่า เฮ้ย คุณมีปัญหาเหรอ เขาอาจจะบอกว่าไม่มีปัญหา
โครงสร้างการบริหารงานแบบ Top-down ที่ข้อมูลจากพื้นที่ไม่สามารถส่งถึงผู้บริหารระดับสูงได้อย่างตรงไปตรงมา กลายเป็นปัญหาใหญ่ในการแก้ไขปัญหาระบบสาธารณสุข
เมื่อปัญหาทั้งหลายเหล่านี้รวมกัน ผลที่ตามมาคือการลดลงของคุณภาพการรักษาพยาบาล แม้ว่าบุคลากรจะพยายามทำงานให้ดีที่สุด แต่ภายใต้ข้อจำกัดทางการเงิน ความเครียด และภาระงานที่เกินขีดจำกัด คุณภาพการดูแลผู้ป่วยย่อมได้รับผลกระทบ
การที่หมออินเทิร์นลาออกเป็นจำนวนมาก การที่พยาบาลหาที่ทำงานใหม่ และการที่บุคลากรประสบปัญหาเบิร์นเอาท์ ล้วนส่งผลต่อความต่อเนื่องและคุณภาพของการดูแลผู้ป่วย
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่เป็นปัญหาที่สะสมมานาน และจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง