"งูสวัด" ไม่ใช่เรื่องเล็ก พบมากในผู้ป่วยมะเร็ง-ใช้ยากดภูมิ

04 พ.ค. 2568 | 03:23 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ค. 2568 | 03:56 น.

สถาบันโรคผิวหนังเตือน "งูสวัด" เสี่ยงสูงในผู้สูงอายุ-ภูมิคุ้มกันต่ำ หากสงสัยรีบพบแพทย์ ดีกว่ารอให้ลุกลาม เพราะรักษาเร็ว ผลลัพธ์ดีกว่า ป้องกันได้ อย่าชะล่าใจ

นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่เรียกว่า ไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคสุกใส และเป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสเริม

โดยที่ผู้ป่วยเมื่อเป็นโรคสุกใสแล้ว เมื่อหายจากโรค เชื้อไวรัสจะเข้าไปซ่อนในปมประสาท และจะถูกกระตุ้นเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ซึ่งไวรัสจะมีการแบ่งตัวทำให้การปล่อยเชื้อไวรัสออกมาตามแนวเส้นประสาท จะมีอาการแสดงเบื้องต้นคือปวดแสบปวดร้อนที่ผิวหนังซึ่งถูกควบคุมโดยแนวเส้นประสาทนั้น ต่อมาจะมีผื่นแดงตามด้วยตุ่มน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มเรียงตัวตามแนวเส้นประสาท 

นายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า งูสวัดเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน (Zoster vaccine) การฉีดวัคซีน zoster จะใช้ในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 50 ปี

วัคซีนจึงเป็นเครื่องมือใหม่สำหรับให้แพทย์เลือกใช้ การป้องกันที่ดีที่สุด คือควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ส่วนการรักษาโรคงูสวัดนั้น มีทั้งการรักษาตามอาการ เช่น การทำแผลและยาแก้ปวดรักษาโดยการใช้ยาต้านไวรัส 

แพทย์หญิงปิ่นนรี ขัตติพัฒนาพงษ์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ตุ่มน้ำสามารถกลายเป็นตุ่มหนองและแตกเป็นแผล หรือเป็นสะเก็ดตามมาได้ หลังจากอาการทางผิวหนังหายแล้ว อาจมีอาการปวดเรื้อรังในผู้ป่วยบางราย

รวมถึงอาจมีแผลเป็นตามหลังได้ การเกิดการกระตุ้นของไวรัส varicella ที่ทำให้เกิดโรคงูสวัดนั้น มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ  ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้ยาเคมีบำบัด  

อาการของโรคที่พบมีความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยทั่วไปที่สามารถหายเองได้  ส่วนใหญ่มักมีอาการทางผิวหนัง ในบางรายที่มีตำแหน่งใบหน้า  อาจจะต้องระวังโรคงูสวัดเข้าดวงตา ควรได้รับการปรึกษาจักษุแพทย์