หุ้นไทยปรับฐานแรง 100 จุด พบนักลงทุนต่างชาติดอดเก็บ ยอดซื้อสะสม 8 เดือนยังเป็นบวกแสนล้านบาท ฟากสถาบันในประเทศขายหนัก 4 หมื่นล้าน นักวิเคราะห์ชี้ทริกเกอร์ฟันด์กำไรอื้อ เอเชีย เวลท์ เผยพื้นฐานเศรษฐกิจไม่เปลี่ยน คาดกำไรบจ.ปี 59 โต 30 % ปีหน้าขยายตัว 15% ตามภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวทั้งใน-ต่างประเทศ ระบุทิศทางเงินยังไหลเข้าถึงสิ้นปีที่ 2 แสนล้านบาท
[caption id="attachment_96690" align="aligncenter" width="700"]
การซื้อขายหุ้นนักลงทุนแยกประเภทตั้งแต่ 1 ม.ค. - 8 ก.ย. 2559[/caption]
สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงจากปัจจัยเฉพาะตัวในประเทศ ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลงประมาณ 100 จุด จากปิดระดับ 1,548.13 จุด ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2559 ลงมาปิดที่ระดับ 1,445.25 ในวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่าน โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศและพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ เป็นฝ่ายขายออกมากที่สุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังเป็นฝ่ายซื้อต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดีจากรายงานข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนแยกประเภทตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หรือในช่วง 8 เดือนเศษ (1 ม.ค.-8 ก.ย.59 ) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1.18 แสนล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ หรือพอร์ตโบรกเกอร์ ที่แม้จะขายทำกำไรออกมาในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-9 ก.ย.2559 ) แต่พบว่ายังโชว์ยอดซื้อสะสม 1.8 หมื่นล้านบาท (ดูตารางประกอบ )
ด้านนักวิเคราะห์ต่างมองไปในแนวทางเดียวกันว่า หุ้นไทยอยู่ในช่วงปรับฐาน และแม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะตัวในประเทศ แต่พื้นฐานด้านเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังเติบโตดี
โดยนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน)(บมจ.)ให้ความเห็นว่า หุ้นไทยอยู่ในช่วงของการปรับฐาน ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค ที่ปรับตัวลงโดยเฉลี่ย 0.7% หลังผิดหวังต่อผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ไม่ผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
ขณะที่สัญญาณทางเทคนิค ดัชนีตลาดหุ้นไทยพลิกเป็นแนวโน้มขาลงในระยะสั้นแล้ว หลังหลุดแนวรับ 1,515 จุด และคาดว่าปรับตัวลงทดสอบแนวรับของแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางที่บริเวณ 1,430-1,437 จุด ส่วนแรงเทขายหนักของนักลงทุนสถาบัน มองว่าเป็นการขายปรับพอร์ต เพราะช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันเป็นกลุ่มหลักที่ซื้อมาโดยตลอด ซึ่งทริกเกอร์ฟันด์(กองทุนประเภทตั้งเป้าผลตอบแทน) ที่มีต้นทุน 1,450 จุด 1,550 จุด หรือ 1,600 จุด ส่วนนักลงทุนกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ซื้อพร้อมกับนักลงทุนต่างชาติ ขายทำกำไรออกมา
ดร.พิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย เวลท์ เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังปัจจัยบวกจากการลงทุนภาครัฐในส่วนของเงินลงทุนจะเริ่มทยอยออกมา อีกทั้งเศรษฐกิจโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่นโยบายการเงินในส่วนของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) น่าจะเริ่มชะลอลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนดัชนีหุ้นไทยให้สามารถไปอยู่ที่ระดับ 1,600 จุดได้ในปีนี้
ด้านกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย(ฟันด์โฟลว์)พบว่า มีการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2559 ประมาณ 1 แสนล้านบาท จากที่เคยไหลออกไปมากถึง 4 แสนล้านบาท ช่วงเกิดวิกฤติซับไพร์ม และเชื่อว่ายังคงไหลเข้าต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกที่ประเทศไทยมีความแน่นอนในการจัดการเลือกตั้ง และการลงทุนภาครัฐฯ โดยเชื่อว่าจนถึงสิ้นปี 2559 มีโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้ามาได้อีก 1 แสนล้านบาทเป็น 2 แสนล้านบาท
สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คาดว่าปี 2559 เติบโตจากปีก่อน 30.3% โดยช่วงครึ่งปีแรกกลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ธุรกิจการเกษตร บริการ ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งทั้งหมดรวมกันคิดเป็น 41 % ของกำไรบจ. ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มทรัพยากรและพลังงาน ซึ่งรวมกันคิดเป็น 23% ของกำไรบจ. โดยรวม ก็ดีขึ้นหลังราคาน้ำมันฟื้นตัวผ่านจุดต่ำสุดของวัฎจักรรอบนี้เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ส่วนกลุ่มการเงิน ซึ่งรวมกันคิดเป็น 23% ของกำไรบจ.โดยรวม ใกล้จะกลับมามีการขยายตัว แม้ว่ากลุ่มสื่อสาร ซึ่งรวมกันคิดเป็น 13% ของกำไรบจ.โดยรวม จะยังคงมีกำไรหดตัวต่อเนื่อง จากภาระการลงทุนอย่างหนักในธุรกิจโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ 4 หรือ 4 G
ด้านกำไรบจ.ปี 2560 นั้น บล.เอเชีย เวลท์ คาดว่าขยยายตัวจากปีนี้ในอัตรา 15% ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น รวมถึงการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว และการลงทุนภาครัฐซึ่งมีทิศทางที่ชัดเจน จากปัจจัยที่กล่าวจะช่วยส่งเสริมให้กำไรบจ.ไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยมองว่าดัชนีหุ้นไทยในปีหน้าน่าจะปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,700 จุด ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นแม้หุ้นไทยจะผันผวนเป็นระยะ แต่แนวโน้มยังคงเป็นทิศทางขาขึ้น
ด้านบทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ระบุโดยมองว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงเคลื่อนไหวที่ระดับต่ำกว่า 1,450 มีโอกาสดีดกลับได้ทุกเมื่อ แต่เป็นจังหวะขายลดพอร์ต และถือเงินสดเพิ่ม เพื่อรอประเมินสถานการณ์ใหม่ให้ชัดเจนก่อน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,191 วันที่ 11 - 14 กันยายน พ.ศ. 2559