ศูนย์วิจัยฯ ยํ้าสกุลเงินบาทมีเสถียรภาพกว่าประเทศเพื่อนบ้าน/จับตาดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลดันเงินบาทแข็งค่ายาว ค่ายทีเอ็มบีคาดกนง.คงอาร์พี 14 ก.ย.
[caption id="attachment_97221" align="aligncenter" width="700"]
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง[/caption]
ตลาดเงินตลาดทุนยังรอตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่จะทยอยออกมาในช่วงที่เหลือ เพราะจะเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งจะส่งผลต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในการนำเงินออกจากไทย เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่ภาคผู้ส่งออกเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควบคุมเงินบาทที่มีแนวโน้มจะแข็งค่าทำให้การขายสินค้าไทยยากขึ้นนั้น
ด้าน ดร.เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า การเคลื่อนไหวของเงินบาท นับตั้งแต่ปลายปีก่อนจนถึงปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 4% ซึ่งการแข็งค่าในระดับดังกล่าว ถือว่าค่าเงินบาทมีเสถียรภาพค่อนข้างดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เช่นค่าเงินรูเปีย-อินโดนีเซีย หรือริงกิต-มาเลเซียที่มีแนวโน้มแข็งค่าเร็วและแกว่งตัวเร็วกว่าเงินบาทค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการและนักลงทุนให้ความเป็นห่วงว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่านั้น เป็นผลมาจากตอนรับคำสั่งซื้อ ผู้ประกอบการคาดการณ์ค่าเงินอยู่ในกรอบที่เคลื่อนไหวไม่มาก เช่น ต้นปีคาดการณ์ว่ากรอบเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงบวกและลบไม่เกิน 1-2% ซึ่งสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ และยังอยู่ในราคาที่รับไว้ โดยควบคุมต้นทุนไว้ที่ระดับ 35.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่พอถึงเวลาจริงค่าเงินบาทหลุดกรอบคาดการณ์ไปที่ระดับ 34.50บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือไม่คิดว่าในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าไป 4% ทำให้การคาดการณ์ผิดไปจากเดิมส่งผลกระทบต่อรายได้และต้นทุนที่คาดว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ เป็นผลให้สินค้าบางรายการอาจจะเสียเปรียบคู่ค้าได้
ขณะที่แนวโน้มการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หากดูทิศทางจะเห็นว่าผู้ประกอบการมีสัดส่วนการทำป้องกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องปิดความเสี่ยง เพราะถ้าไม่ทำอาจจะเสียเปรียบคู่แข่งหรือกระทบต่อรายได้ ซึ่งจากเดิมผู้ประกอบการมักจะไม่ค่อยทำป้องกัน เพราะมองว่าเป็นต้นทุนการเงินที่จะต้องเพิ่มขึ้น จึงใช้การคาด การณ์ค่าเงินแทน แต่ปัจจุบันค่าเงินแกว่ง เกินกรอบคาดการณ์ ทำให้ผู้ประกอบการหันมาป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากมองภาพรวมการเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาค เรียกว่าเงินบาทมีเสถียรภาพมาก แต่อย่างไรก็ดีจะเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าในระดับนี้ไปอีกระยะหนึ่ง โดยคาดว่าค่าเงินจะกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 เนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลค่อนข้างสูง ทั้งดุลการค้าผ่านการนำเข้าที่ติดลบค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับการส่งออก และดุลบริการที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากโดยตัวเลข 7 เดือน ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อเทียบตัวเลขเงินทุนเคลื่อนย้ายอยู่ที่8,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติถือหุ้นและพันธบัตรเพียง2,828 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะเห็นว่าคนไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศมีสัดส่วนสูงกว่า
ดังนั้น จะเห็นสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าไปอีกระยะ โดยค่าเงินจะเริ่มกลับมาปกติหลังจากเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ปกติ ภาครัฐเกิดการลงทุนในโครงการ ภาคเอกชนมีการลงทุนมากขึ้นจะทำให้เกิดการนำเข้าเครื่องจักร ซึ่งจะทำให้การค้าเกินดุลน้อยลง ประกอบกับเฟดจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น ซึ่งคาดว่าปีนี้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในช่วงการประชุมเดือนธันวาคม โดยขึ้นดอกเบี้ยที่ประมาณ 0.25% และปี 2560 จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ค่าเงินกลับมาสู่ระดับปกติ โดยศูนย์วิจัยฯ ในปีนี้ยังคงให้กรอบค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นการปรับครั้งที่ 2 จากครั้งก่อนให้กรอบอยู่ที่ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯส่วนจะมีการปรับกรอบอีกหรือไม่นั้น อาจจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างปีที่จะเกิดขึ้นก่อน
“ปัจจัยเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เข้ามาลงทุนของต่างชาติจริงๆ แล้วมีผลต่อค่าเงินบาทค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลของดุลการค้าและดุลบริการที่สูง แต่คนจะเห็นแค่ตัวเลขต่างชาติเอาเงินออกเอาเงินเข้าเท่าไร แต่ไม่เห็นตัวเลขที่ไทยออกไปลงทุนเพื่อนบ้านที่ปัจจุบันค่อนข้างเยอะ ทำให้เรายังเห็นเงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าอยู่ แต่คาดว่าปีหน้าสถานการณ์จะดีขึ้นจากดุลการค้าที่ติดลบน้อยลง”
ส่วนทิศทางการส่งออก ประเมินว่าปีนี้จะเป็นปีที่การส่งออกติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และปี 2560 การส่งออกจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ จากปีนี้ที่คาดการณ์ว่ากรอบจะติดลบ 2- 0% โดยที่ธปท.มองว่าจะติดลบอยู่ที่ 2.5% ส่วนปีหน้าศูนย์วิจัยฯ มองว่ากรอบล่างจะไม่ติดลบแต่จะขยายตัวเป็นบวก ปัจจัยมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่น่าจะฉุดภาคการส่งออกแล้ว โดยราคายางพาราและมันสำปะหลังจะกลับมาดีขึ้น และราคานํ้ามันที่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านจะดีขึ้นทำให้การส่งออกทั้งปีของปี 2560 น่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ ส่วนกรอบจะอยู่ที่เท่าใดนั้นอาจจะต้องรอประเมินอีกครั้ง
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีพื้นที่ทางนโยบาย(policy space) ในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ โดยหากเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง คืออัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังหักอัตราเงินเฟ้อแล้ว ในส่วนของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อัตราดังกล่าวของไทยจะอยู่ที่ 1.52% ซึ่งตํ่ากว่า1.58% ของประเทศอินโดนีเซีย แต่สูงกว่าของหลายประเทศในเอเชีย เช่นมาเลเซีย เกาหลีใต้ และไต้หวันที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงอยู่ที่ 0.55% 0.41% และ 0.40% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะกระตุ้นพฤติกรรมการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้น( search for yield)ทำให้ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่แท้จริง ซึ่งอาจส่งผลลบต่อเสถียรภาพการเงิน โดยรวมแล้วถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทยยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค แต่เพราะพฤติกรรม searchfor yield และภาวะความผันผวนภายนอกที่สูง การรักษา policy space ไว้จึงยังเป็นสิ่งจำเป็น
ทั้งนี้การส่งออกยังมีแนวโน้มหดตัว อีกทั้งความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน ศูนย์วิเคราะห์ฯจึงคาดว่ากนง. จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ในการประชุมวันที่ 14กันยายนนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,191 วันที่ 11 - 14 กันยายน พ.ศ. 2559