ปิดฉากซีทีเอช ลอยแพสมาชิกล็อตสุดท้ายร่วม 5 หมื่นราย กสทช.ลั่นไม่มีอำนาจคุม แต่พร้อมช่วยต่อรองเยียวยา ชี้เห็นใจทุกฝ่าย ด้านสคบ. ยันมีผู้ร้องเรียนแล้วกว่า 200 ราย ขณะที่ผู้ประกอบการเคเบิลรายย่อยแจงปัจจัยความล้มเหลว ขาดทีมงานมืออาชีพ ระบุ “วิชัย ทองแตง” เก่งเรื่องลงทุน แต่ไม่กล้าตัดสินใจสุดท้ายแบกหนี้เกือบ 2 หมื่นล้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ชี้หากผิดชำระหนี้ระดับเอ็นพีแอลแบงก์กรุงเทพเพิ่ม 0.7%
[caption id="attachment_78749" align="aligncenter" width="700"]
ปัจจัยแห่งความล้มเหลวของ CTH[/caption]
สืบเนื่องจากกรณีที่บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) (บมจ.)ประกาศผ่านเว็บไซต์ www.cth.co.th ยกเลิกการให้บริการแก่ลูกค้า ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559 เวลา 0.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สมาชิกซีทีเอชไม่สามารถรับชมช่องรายการต่างๆได้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในสภาวการณ์ปัจจุบันทำให้บริษัทมีความจำเป็นต้องยกเลิกการให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน ขณะที่ก่อนหน้านี้ซีทีเอชได้ประกาศขอยุติการให้บริการผ่านช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม ระบบ Ku-Band ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าสมาชิกซีทีเอชที่รับชมผ่านไทยคมซึ่งมีเหลืออยู่ราว 1 หมื่นรายจะได้รับผลกระทบ สมาชิกเดิมอีกเกือบ 5 หมื่นรายย่อมโดนหางเลขไปด้วย
กสทช.ลั่นไม่มีอำนาจคุม
ต่อเรื่องนี้พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กรณีที่บริษัทซีทีเอช ประกาศยุติการให้บริการทั้งหมดและส่งผลกระทบต่อสมาชิกที่ซื้อแพ็กเกจหรือจานและกล่องรับสัญญาณเคเบิลทีวีไปแล้วนั้น กสทช.ไม่มีกรอบอำนาจในการลงโทษ เนื่องจากซีทีเอชประกอบกิจการโดยไม่ใช้คลื่นความถี่ แต่เนื่องจากกรณีการยุตินี้มีผลกระทบต่อผู้บริโภค ดังนั้นซีทีเอชต้องส่งแผนเยียวยามาให้กสทช.พิจารณาก่อนว่าแผนเยียวยาที่นำเสนอมาเหมาะสมกับผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบหรือไม่
"ที่ผ่านมาซีทีเอชได้ส่งแผนเยียวยามาแล้ว แต่เนื่องจากคณะทำงานยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องแผนเยียวยา โดยเฉพาะเรื่องการชดเชยสำหรับการยุติการให้บริการ ซึ่งมองว่าแผนที่เหมาะสม ควรต้องเห็นใจทุกฝ่ายทั้งในด้านของผู้ประกอบการและผู้บริโภค เช่น บริษัทดังกล่าวมีเงินอยู่ 5 บาท แต่การเรียกร้องครั้งนี้กลับต้องการให้ผู้ประกอบการจ่าย 100 บาทย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะในกรณีนี้ต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆให้เหมาะสม ทั้งในด้านค่าเสื่อมของอุปกรณ์ที่ใช้ไปและค่าชดเชยที่สอดคล้องกันด้วย"
สคบ.ยันพร้อมรับเรื่องร้องทุกข์
ขณะที่นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาสคบ.ได้ร่วมหารือกับนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. เกี่ยวกับการยุติออกอากาศผ่านสัญญาณโทรทัศน์ดาวเทียมในระบบเคยู- แบนด์ ของซีทีเอชแล้ว โดยกำหนดให้ทางกสทช. เป็นผู้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ได้รับความเสียหายกว่า 200 รายที่ได้มาร้องเรียนกับทางสคบ. และได้นำเรื่องร้องเรียนนั้นมอบให้กับกสทช.ดำเนินการต่อ แต่หากผู้ได้รับความเสียหายและซีทีเอชไม่สามารถตกตงกันได้ ให้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาทางสคบ. เพื่อให้ยื่นฟ้องต่อศาลในฐานะโจทก์แทนผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย
"ตาม ม.21 ของกฎหมายสคบ. ระบุว่า กรณีที่มีกฎหมายของหน่วยงานใดบัญญัติเรื่องไว้โดยเฉพาะแล้ว ก็ให้บังคับตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้นำเรื่องกลับมาที่สคบ. เพื่อให้สคบ.เป็นโจทย์แทนผู้บริโภคฟ้องร้องตามกฎหมายต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากส่งเรื่องไปยังกสทช. ก็ไม่มีผู้บริโภคที่เสียหายจากกรณีซีทีเอชมาร้องเรียนกับทางสคบ. ผู้บริโภคอาจจะไปร้องกับทางกสทช. แทน ตอนนี้ก็รออยู่ว่าจะต้องดำเนินการถึงขั้นฟ้องร้องหรือไม่"
ทุ่มกว่าหมื่นล.ประมูลพรีเมียร์ลีก
ด้านหนึ่งในผู้ประกอบการเคเบิลทีวีรายใหญ่ กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ความล้มเหลวของการประกอบกิจการของซีทีเอชครั้งนี้ มาจากปัญหาการจัดการทีมงาน และบุคลากร ซึ่งย้อนไปตั้งแต่ซีทีเอชเริ่มประกอบกิจการก่อนที่จะได้ลิขสิทธิ์ฟุตบอลอังกฤษพรีเมียร์ลีก ซีทีเอชจัดตั้งทีมพนักงานและเตรียมตัวกระชั้นชิดมากเกินไปโดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีกว่าๆเท่านั้น ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวน้อยเกินไป เพราะเมื่อเทียบกับทรูวิชั่นส์ก่อนที่จะได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกใช้เวลาลองผิดลองถูกมานานกว่า 4-5 ปี โดยเฉพาะด้านบุคลากรและซอฟแวร์ที่ใช้ ขณะที่ในด้านซีทีเอชใช้เวลาน้อยเกินไป และยังลองผิดลองถูกไม่มากเพียงพอ แต่กลับกล้าประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ด้วยตัวเลขที่สูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงเป็นประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าทีมงานขาดความพร้อม ทำให้ต้องแบกรับภาระที่หนักเกินไป
ขณะที่ปัญหาด้านเทคนิค ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ซีทีเอชต้องเผชิญ ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะฝ่ายวิศวกรรมบริหารเครือข่ายและเทคโนโลยีการสื่อสาร ยังขาดความเชี่ยวชาญ ทั้งที่ระบบดังกล่าวเป็นระบบที่สำคัญของการทำธุรกิจนี้ และเป็นระบบใหญ่ ซึ่งหากไม่มีความเชี่ยวชาญหรือชำนาญมากพออาจส่งผลให้ธุรกิจล้มเหลว และที่ผ่านมาความผิดพลาดของทีมงานมีให้เห็นตลอด โดยสังเกตได้จากการเลือกซอฟท์แวร์ในด้านการเก็บเงิน คอลล์เซ็นเตอร์ ฯลฯ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ยังมีปัญหาต่อเนื่องและไม่สามารถแก้ไขได้
ขณะที่ทีมงานบริหารด้านการตลาด การจัดการคอนเทนต์ก็เช่นกันยังขาดความเชี่ยวชาญ ซึ่งหลังจากพบปัญหาด้านการเก็บบิลจากสมาชิก ฝ่ายบริหารกลับไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ และยังกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ผิดพลาด จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายที่จะให้ซีทีเอช เป็นผู้นำคอนเทนต์ระดับพรีเมียม กลับจัดทำแพ็กเกจราคาถูก เพื่อหั่นราคาตัดหน้าคู่แข่ง ส่งผลทำให้กลายเป็นคอนเทนต์ระดับแมส จนที่สุดไม่สามารถทำรายได้เข้าบริษัท
ผนึกพันธมิตรต่อยอดไม่สำเร็จ
แหล่งข่าวคนเดิมยังกล่าวอีกว่า ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีทีเอช นายวิชัย ทองแตง ซึ่งเป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าของประเทศนั้น ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านตลาดลงทุน หรือเป็นนัก Take Over ที่เก่งในประเทศไทย แต่เนื่องจากธุรกิจของซีทีเอชเป็นธุรกิจที่ต้องสร้างจากจุดเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด อีกทั้งที่ผ่านมาธุรกิจนี้ต้องการผู้ที่เข้ามามาบริหารงานโดยกล้าตัดสินใจที่เด็ดขาด และเฉียบคม แต่เนื่องจากคุณวิชัย เป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยค่อนข้างเกรงใจ ดังนั้นเมื่อพบปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็ยังไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาดเนื่องจากความเกรงใจพันธมิตรต่างๆ และอาจทำให้เกิดปัญหา
นอกจากนี้การจับมือพันธมิตรต่างๆ อาทิ แกรมมี่ , พีเอสไอ และผู้ประกอบการ IPTV เป็นต้น เพื่อคาดหวังความร่วมมือที่จะต่อยอดทางธุรกิจร่วมกัน กลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แต่กลับกลายเป็นการเพิ่มภาระหนักขึ้นไปอีก ทำให้เป้าหมายสมาชิกที่คาดว่าจะได้เพิ่มมากขึ้นกลับไม่ได้เลย ขณะที่สมาชิกจากผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่นที่คาดว่าจะมีอยู่ราว 3.5 ล้านราย แท้จริงมีเพียง 1 ล้านรายเท่านั้น ส่งผลให้ซีทีเอชไม่สามารถเก็บรายได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
ทั้งนี้จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าในปี 2557 บมจ. ซีทีเอช มีทรัพย์สินรวม 9,228 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,195 ล้านบาท รายได้ 2,671 ล้านบาท ขาดทุน 4,455 ล้านบาท
"ไทยคม"ยังไม่ฟ้อง
นายฟิลิป แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่ง บมจ.อินทัช เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีที่ซีทีเอช ได้แจ้งยุติบริการจากดาวเทียมไทยคม ระบบเคยู- แบนด์ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนั้น ในฐานะที่ซีทีเอชเป็นคู่สัญญากับไทยคม เมื่อไหร่ที่คู่ค้าเจอภาระมีปัญหาขึ้นมาต้องทำงานให้ดีที่สุดก่อน เพราะซีทีเอชมีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์ ซึ่ง CTH เป็นลูกค้าที่มีความสำคัญคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหากับไทยคม
"การลงทุนของซีทีเอช ลงทุนแบบ aggressive ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าค่อนข้างมากแต่ปรากฏว่าไม่ถึงตามเป้าหมาย"
ส่วนจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่นั้น นายฟิลิป กล่าวว่า ไทยคม เป็นบริษัท(มหาชน) ดังนั้นบริษัทต้องดำเนินการให้ดีที่สุด มีผลกระทบน้อยที่สุด ถามว่าซีทีเอชเป็นหนึ่งในลูกค้าไทยคม เพราะฉะนั้น ไทยคมก็ถูกกระทบเหมือนกรณีที่ ทีโอที (บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ขอลดราคาและลดการเช่าช่องสัญญาณดิจิตอลดาวเทียมไอพีสตาร์ จาก 25,875 บาทต่อเมกะบิตต่อเดือนเหลือ 12,200 บาทต่อเมกะบิตต่อเดือน) บริษัทก็ถูกกระทบเช่นเดียวกัน
"ผมเข้ามาธุรกิจมีcycle (วงจร) ต้องระวังอย่างเรื่องเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ถือว่าเป็นวิกฤตการณ์ ผู้บริหาร ผู้นำต้องหาทางออกที่ดีที่สุด"
มีรายงานข่าวว่าซีทีเอช เช่าช่องสัญญาณไทยคมทั้งสิ้น 5 ช่องแบ่งเป็น 3 ช่อง ซี-แบนด์ และ 2 ช่อง เคยู-แบนด์ คิดเป็นรายได้ต่อปีราว 300-400 ล้านบาท
ห่วงNPLธ.กรุงเทพเพิ่ม 0.7%
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมล์แบงก์ กิมเอ็งฯ(ณ 8ก.ค.59)ระบุว่า ประเด็นที่มีการพูดถึงมากคือ ความเสี่ยงในการผิดชำระหนี้ของซีทีเอช โดยผู้บริหารไม่ได้กังวลในเรื่องโอกาสการผิดนัดชำระหนี้จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาทเท่าที่ตลาดกังวล เนื่องจากเจ้าของมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามประเด็น CTH ยังคงเป็นความเสี่ยงบนประมาณการของบล.เมล์แบงก์ กิมเอ็งฯ ถ้าซีทีเอชผิดชำระหนี้ระดับเอ็นพีแอลของธนาคารกรุงเทพจะเพิ่มขึ้น 0.7% ซึ่งธนาคารอาจจะต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาท (27% ของกำไรสุทธิ) โดยซีทีเอชกำลังปรึกษากับกสทช. เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและคาดว่าบริษัทจะประกาศแผนฟื้นฟูธุรกิจในช่วงถัดไป เนื่องจากความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ
สำหรับเอ็นพีแอลของธนาคาร(ณ สิ้นสุดเดือนมิ.ย.59)มีจำนวน 6.64 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 3.11% ของเงินให้สินเชื่อรวมก่อนหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และเอ็นพีแอลสุทธิมีจำนวน 2.03 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 0.97% ของเงินให้สินเชื่อรวมหลังหักเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญโดยเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ที่มีอยู่ประจำไตรมาส 1.08 แสนล้านบาทซึ่งสูงกว่าเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ที่ต้องกันตามเกณฑ์ที่ธปท.กำหนดที่ 5.36 หมื่นล้านบาท
ดร.วิรไทไม่ขอคอมเมนต์
ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กรณีบริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้งฯ (CTH) ได้ประกาศยุติการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559 ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) ที่ปล่อยกู้ให้กับบริษัทดังกล่าวราว 1.4 หมื่นล้านบาท นั้น ธปท.ไม่ขอคอมเมนต์หรือลงรายละเอียดเป็นรายแบงก์ แต่หากดูภาพรวมของสินทรัพย์ที่มีอยู่ของธนาคารกับมูลค่าวงเงินการปล่อยสินเชื่อ มั่นใจว่าตัวเลขไม่ได้เป็นสาระสำคัญมากนัก ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ดี ธปท.มีฝ่ายที่ติดตามดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว
อนึ่งธนาคารกรุงเทพ เป็นสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพียงรายเดียวที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อให้กับCTH ในวงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาท โดยมีพิธีลงนามในการปล่อยสินเชื่อเมื่อต้นปี 2556 ซึ่งในครั้งนั้นนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้เหตุผลในการปล่อยกู้ลูกหนี้รายนี้ว่า ธนาคารมั่นใจในโครงการตัวผู้ประกอบการและพันธมิตรผู้ถือหุ้น (นายวิชัย ทองแตงถือหุ้น 25% และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐถือ 25% ,เคเบิลท้องถิ่นทั่วประเทศ30% และอีก20% เป็นกองกลางที่จะให้พันธมิตรเข้ามาถือหุ้น , อีกทั้งนายวิชัยยังเป็นลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ของธนาคาร) และจากการศึกษาแผนธุรกิจเห็นว่าเคเบิลทีวีของซีทีเอชเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ อีกทั้งธนาคารยังมีความมั่นใจในความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้
สำหรับวงเงินสินเชื่อ 1.4 หมื่นล้านบาทนั้นนายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการซีทีเอช ชี้แจงกับทางแบงก์ว่า จะแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก 3,000 ล้านบาทนำไปลงทุนขยายโครงข่ายที่ปัจจุบันมีอยู่ 77 จังหวัด 900 อำเภอ ทั่วประเทศ ส่วนที่ 2 ค่าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกและเนื้อหารายการจำนวน 1 หมื่นล้านบาท และส่วนที่ 3 วงเงิน 1,000 ล้านบาทจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,180 วันที่ 4 - 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559