KEY
POINTS
หลังจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ได้อนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 (ม.33) และล่าสุดราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศกฎกระทรวงฉบับใหม่ในการปรับเพดานค่าจ้างสำหรับใช้คำนวณเงินสมทบประกันสังคม ม.33 แบบบันได 3 ขั้น เริ่มใช้บังคับ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
นับเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งลูกจ้าง นายจ้าง และความมั่นคงทางการคลังของกองทุนประกันสังคมในระยะยาว สำนักงานประกันสังคม (สปส.) โดยนางสาวกาญจนา พูลแก้ว เลขาธิการ สปส. ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า วัตถุประสงค์หลัก คือ การเสริมสร้างความมั่นคงด้านรายได้ และ เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและระดับค่าจ้างในปัจจุบัน โดยมีแผนการปรับแบบขั้นบันได เป็น 3 ระยะ (Roadmap)
กล่าวคือ การปรับเพดานค่าจ้างจะดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปใน 3 ระยะเพื่อลดผลกระทบต่อการวางแผนทางการเงินของทั้งผู้ประกันตนและนายจ้าง ดังนี้
ระยะที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ.2569–2571 กำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุด 17,500 บาท คิดเป็นเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท คาดเริ่มมกราคม 2569
ระยะที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ.2572–2574 กำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุด 20,000 บาท เงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน
ระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2575 เป็นต้นไป กำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุด 23,000 บาท เงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน
สำหรับกลุ่มผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาท ยังคงจ่ายเงินสมทบในอัตรา 5% ของค่าจ้างตามเดิมโดยไม่มีภาระเพิ่มขึ้นจากการปรับเพดานรอบนี้
ขณะที่หากมองในแง่ของผลประโยชน์ที่จะได้ "เพิ่มขึ้น" อย่างเป็นรูปธรรมในระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการปรับเพดานค่าจ้างเป็น 17,500 บาท ในระยะแรก คือ เริ่ม ม.ค. 2569 จะทำให้ผู้ประกันตนที่มีเงินเดือนสูงได้รับผลประโยชน์ทดแทนการขาดรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนใน 7 กรณี
1. เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย สูงสุด 7,500 บาท/เดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาท/เดือน
2. เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ สูงสุด 7,500 บาท/เดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาท/เดือน
3. เงินทดแทนกรณีว่างงาน สูงสุด 7,500 บาท/เดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาท/เดือน
4. เงินสงเคราะห์กรณีคลอดบุตร 22,500 บาท/ครั้ง เพิ่มเป็น 26,250 บาท/ครั้ง
5. เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 บาท เพิ่มเป็น 105,000 บาท
6. เงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 15 ปี สูงสุด 3,000 บาท/เดือน เพิ่มเป็น 3,500 บาท/เดือน
7. เงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 25 ปี สูงสุด 5,250 บาท/เดือน เพิ่มเป็น 6,125 บาท/เดือน
เมื่อมองให้ลึกผลประโยชน์ที่โดดเด่นที่สุด คือ กรณีเงินบำนาญชราภาพเนื่องจากเงินบำนาญจะคำนวณจากฐานค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่สูงขึ้น
การปรับเพดานนี้จึงเป็นการเพิ่มหลักประกันความมั่นคงในวัยเกษียณให้แก่แรงงานที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงโดยหากมีการส่งเงินสมทบในเพดานสูงสุดตลอดไปจนถึงระยะที่ 3 (ฐาน 23,000 บาท) เงินบำนาญสูงสุดที่จะได้รับจะสูงขึ้นอีกมากตามลำดับ ซึ่งเป็นการ ลงทุนระยะยาว ของรัฐบาลและนายจ้างเพื่อคุณภาพชีวิตแรงงาน
ทั้งนี้ แม้ สปส. จะเน้นย้ำถึงการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านรายได้ แต่ในมุมของ สภาผู้บริโภค ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างน่าสนใจว่า การปรับเพดานค่าจ้างเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการยุติความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริงโดยได้เสนอให้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ในระบบประกันสังคมโดยเฉพาะด้านสิทธิการรักษาพยาบาล หรือ สิทธิสุขภาพโดยเรียกร้องผลักดันให้ประเทศไทยมีระบบสุขภาพมาตรฐานเดียวเพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกับกองทุนสุขภาพอื่น ๆ
เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบก่อนจึงจะได้รับสิทธิการรักษาไม่ต้องรอ 3 เดือนตามเงื่อนไขปัจจุบัน ซึ่งไม่สมเหตุสมผลสำหรับหลักประกันด้านสุขภาพที่เห็นว่า ควรให้ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้ ทันที ที่เริ่มมีการส่งเงินสมทบ
การอนุมัติปรับเพดานค่าจ้างครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการสร้างความยั่งยืนทางการเงินของกองทุนประกันสังคมและยกระดับสิทธิประโยชน์ด้านรายได้ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป การดำเนินการแบบขั้นบันไดถือเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการลดผลกระทบด้านต้นทุนต่อภาคธุรกิจ
ขณะเดียวกันประเด็นที่ภาครัฐและ สปส. ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ การที่ลูกจ้างและนายจ้างต้องแบกรับภาระการจ่ายเงินสมทบที่เพิ่มขึ้นเพื่อแลกมาซึ่งสิทธิประโยชน์ที่สูงขึ้นนั้นจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ประกันตนได้รับความคุ้มครองและบริการด้านสุขภาพที่เท่าเทียมและเป็นธรรมตามเงินที่ได้จ่ายจริง
การปฏิรูประบบสิทธิสุขภาพควบคู่ไปกับการปรับฐานค่าจ้างจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายและเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วย ยกระดับผลิตภาพแรงงานและสร้างความมั่นคงทางสังคมที่ครอบคลุมในทุกมิติได้อย่างแท้จริง
วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,158 วันที่ 18 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568