ไซยาไนด์ สารพิษร้ายแรง แพทย์ย้ำรับยาต้านพิษทันเวลา ช่วยชีวิตได้

06 ธ.ค. 2568 | 12:00 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ธ.ค. 2568 | 12:05 น.

ไซยาไนด์ สารพิษร้ายแรง 'ไร้สี ไร้กลิ่น' คร่าชีวิตได้ในนาที แพทย์ย้ำ รับยาต้านพิษ ‘โซเดียมไทโอซัลเฟต-โซเดียมไนไตรท์’ ทันเวลา ช่วยชีวิตได้

จากกรณีที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จากร่างของ นายณัฐวุฒิ ปงลังกา อดีตนักข่าว และผู้ประกาศข่าวชื่อดังจากช่อง 8 วัย 35 ปี ซึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหันภายในบ้านพักย่านบางกรวย จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2568 โดยผลตรวจยืนยันพบสารไซยาไนด์ (Cyanide) ในระดับสูง ในทั้งกระแสเลือดและกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ทันทีนั้น

“ฐานเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมข้อมูลพิษไซยาไนด์ โดยผู้ที่ได้รับพิษจากไซยาไนด์ก็มีโอกาสรอดชีวิตได้ หากได้รับยาต้านพิษอย่างทันท่วงทีภายใต้การดูแลของแพทย์ มีรายละเอียด ดังนี้

ไซยาไนด์เป็นสารพิษร้ายแรงและมีความเป็นพิษสูงมาก ซึ่งเมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกายจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าสารพิษนี้จะถือเป็นสารที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น แต่ผู้ที่ได้รับพิษจากไซยาไนด์ก็มีโอกาสรอดชีวิตได้ หากได้รับยาต้านพิษอย่างทันท่วงทีภายใต้การดูแลของแพทย์

ประเทศไทยมียาต้านพิษไซยาไนด์ 2 ชนิด คือ โซเดียมไทโอซัลเฟต และโซเดียมไนไตรท์ ซึ่งมีการสำรองยาไว้ในโรงพยาบาลระดับจังหวัดทั่วประเทศ

'สารพิษไซยาไนด์' เป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษสูงมาก โดยลักษณะของสารพิษมี ดังนี้

สีและกลิ่นโดยทั่วไปไซยาไนด์เป็นสารที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น แต่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่อาจรับรู้กลิ่นได้ ซึ่งมักมีกลิ่นคล้ายกับอัลมอนด์ หรือคล้ายกลิ่นเมล็ดพืช/เมล็ดผลไม้ที่มีความขม

รสชาติ ในรูปแบบโพแทสเซียมไซยาไนด์มีรสชาติขม หากได้รับในปริมาณมากจะมีความรู้สึกแสบหรือเผาไหม้ในปาก คล้ายกับการสัมผัสกับสารด่าง

รูปแบบที่พบ พบได้ 2 รูปแบบ คือ ลักษณะของแข็ง (เกลือไซยาไนด์) เช่น โซเดียมไซยาไนด์ หรือโพแตสเซียมไซยาไนด์ และลักษณะของก๊าซ ที่เรียกว่า ไฮโดรเจนไซยาไนด์

นอกจากนี้ ไซยาไนด์ยังพบได้ตามธรรมชาติในพืชบางชนิด เช่น มันสำปะหลัง สบู่ดำ หน่อไม้ ถั่วลิมา และอัลมอนด์ชนิดขม โดยอยู่ในรูปไซยาโนไกลโคไซด์ หากรับประทานในปริมาณมากๆ อาจเกิดการสะสมเป็นพิษได้

กลไกการเกิดพิษ เมื่อไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายจะไปยับยั้งขบวนการหายใจระดับเซลล์ ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้ความดันโลหิตตกและสมองขาดออกซิเจน

ผู้ป่วยอาจมีอาการชักหรือหมดสติ ความดันโลหิตต่ำ และมีการหายใจช้าจนถึงหยุดหายใจ

หากได้รับสารทางปากในขนาดสูง ผู้ใหญ่มักเสียชีวิตในเวลาเป็นนาที โดยปริมาณไซยาไนด์ทางปากที่ทำให้ผู้ใหญ่ทั่วไปเสียชีวิต คือ 200-300 มิลลิกรัม ซึ่งเทียบได้กับปริมาณเกลือประมาณครึ่งถึงหนึ่งในสี่ของช้อนชา

3 ช่องทางหลักที่สารพิษเข้าสู่ร่างกาย

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุถึง 3 ทางที่ร่างกายจะรับสัมผัสไซยาไนด์ คือ

  • ทางลมหายใจ แก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์จะเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอด และเข้าสู่กระแสเลือดได้ ความรุนแรงของพิษขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของไซยาไนด์และระยะเวลาที่สูดดม
  • ทางผิวสัมผัส สารละลายไซยาไนด์มีสภาพเป็นเบสสูงและมีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณที่มีบาดแผล นอกจากนี้ ไอของแก๊สไฮโดรเจนไซยาไนด์ยังสามารถทำลายเรตินาประสาทตา ทำให้ตาบอดได้
  • ทางปาก ไซยาไนด์จะถูกดูดซึมเข้าสู่ผนังชั้นในของกระเพาะอาหาร และกรดในกระเพาะอาหารจะทำให้เกิดการแตกตัวของสารประกอบไซยาไนด์มากขึ้น

ยาต้านพิษไซยาไนด์ที่ช่วยชีวิตได้

การได้รับ ยาต้านพิษไซยาไนด์ อย่างทันเวลาสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ หากได้รับในปริมาณต่ำอาจใช้เวลานานขึ้นเป็นหลายนาทีหรือเป็นชั่วโมง ซึ่งเพิ่มโอกาสในการได้รับยาต้านพิษและช่วยชีวิตได้ทัน ยาต้านพิษที่มีใช้ในโครงการยาต้านพิษของประเทศไทย ได้แก่

  • ยาฉีดโซเดียมไทโอซัลเฟต (Sodium thiosulfate) เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ออกฤทธิ์โดยการให้ sulfur group แก่ cyanide เพื่อเปลี่ยน cyanide ให้เป็น thiocyanate แล้วจึงถูกขับออกทางไต ยานี้ใช้ร่วมกับโซเดียมไนไตรท์ในการรักษาภาวะพิษจากไซยาไนด์
  • ยาฉีดโซเดียมไนไตรท์ (Sodium nitrite) ยาจะออกซิไดซ์ ferrous ion ในฮีโมโกลบินให้เป็น ferric ion ทำให้ hemoglobin กลายเป็น methemoglobin ซึ่งสามารถจับกับ cyanide ได้ดี ยานี้ใช้ร่วมกับโซเดียมไทโอซัลเฟตในการรักษาภาวะพิษเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม ควรระวังเนื่องจากการฉีดเข้าเส้นเลือดดำอย่างเร็วอาจทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ และอาจเกิด methemoglobin มากเกินไป ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

ยาต้านพิษทั้งสองชนิดนี้มีสำรองไว้ที่โรงพยาบาลระดับจังหวัดขึ้นไปทั่วประเทศ แต่ต้องได้รับยาถอนพิษอย่างทันท่วงทีภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น