นายชวลิต จันทรรัตน์ กรรมการและผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ บริษัททีมกรุ๊ป เปิดเผยการวิเคราะห์เส้นทางและพัฒนาการของ “พายุโกโตะ” และ “พายุเซนยาร์” ที่ส่งผลต่อสภาพอากาศในภูมิภาค โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของไทยช่วงวันที่ 2–3 ธันวาคมนี้
ทั้งนี้ พายุไต้ฝุ่นโกโตะ หมายถึง ครื่องดนตรีจะเข้ของญี่ปุ่น เป็นพายุลูกที่ 27 ของปีนี้ ก่อตัวขึ้นบริเวณทะเลใกล้ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน ก่อนเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้และเริ่มทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 ในวันที่ 26 พฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ช่วงวันที่ 27–30 พฤศจิกายน มวลอากาศเย็นจากจีนได้เคลื่อนตัวลงมาปะทะ ทำให้โกโตะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน แต่ยังไม่สลายตัว เนื่องจากได้รับอิทธิพลเสริมจาก “พายุดีเปรสชั่นเซนยาร์” ที่ก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำในพื้นที่ตอนบนของมาเลเซีย
ทั้งสองพายุมีการเคลื่อนที่เข้าใกล้กันจนเกิด “การรวมตัวแบบฟูจิวารา (Fujiwhara Effect)” ในช่วงวันที่ 1 ธันวาคม ส่งผลให้โกโตะกลับมามีกำลังมากพอที่จะคงสถานะพายุโซนร้อน
และเคลื่อนตัวต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขึ้นฝั่งที่เมืองกวีเญิน ประเทศเวียดนาม ในวันที่ 2–3 ธันวาคม ก่อนอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่นและสลายตัวบริเวณกัมพูชา โดยไม่ถึงกรุงพนมเปญ
อย่างไรก็ดี แม้เส้นทางพายุจะไม่กระทบโดยตรงต่อไทย แต่มีผลให้ ระยอง จันทบุรี และตราด มีฝนตกเพิ่มขึ้นวันที่ 2–3 ธ.ค.นี้ เนื่องจากอิทธิพลของความชื้นจากพายุที่เคลื่อนตัวผ่านบริเวณทะเลจีนใต้
สำหรับพายุเซนยาร์นั้นเริ่มจากหย่อมความกดอากาศต่ำในมาเลเซีย ซึ่งนิ่งอยู่กับที่และทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างของไทย โดยเฉพาะพัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี และสตูล ในช่วงวันที่ 22–25 พฤศจิกายน
หลังจากนั้น
นายชวลิตระบุว่า การรวมตัวของพายุทั้งสองเกิดขึ้นจากลมหมุนวนเข้าหากันตามปรากฏการณ์ฟูจิวารา ซึ่งแม้จะไม่ขึ้นฝั่งไทย แต่ช่วยดึงความชื้นจำนวนมากเข้าสู่พื้นที่ ทำให้ช่วงต้นเดือนธันวาคมอาจมีฝนตกเพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกของประเทศ