แนะรัฐใช้ ‘ASEAN Summit – APEC’ ประกาศจุดยืน ไทย เป็น HUB ปราบสแกมเมอร์

22 ต.ค. 2568 | 07:58 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ต.ค. 2568 | 08:05 น.

นักวิชาการธรรมศาสตร์ แนะ 'อนุทิน' ใช้โอกาสเข้าร่วมประชุม “ASEAN Summit -APEC” ประกาศจึดยืน หนุนไทย เป็นศูนย์กลางปราบสแกมเมอร์กัมพูชา

KEY

POINTS

  • เสนอให้รัฐบาลไทยใช้เวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) และเอเปค (APEC) ประกาศจุดยืนพร้อมเป็นศูนย์กลาง (HUB) ในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์
  • การเป็นศูนย์กลางหมายถึงการเปิดรับการสนับสนุนจากนานาชาติ ทั้งด้านงบประมาณ เทคโนโลยี และบุคลากร เพื่อสร้างความร่วมมือระดับโลกในการแก้ปัญหา
  • การประกาศตัวเป็น HUB จะช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่น และแก้ปัญหาผลกระทบด้านการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกการเดินทางเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย

ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน อาจารย์ประจำศูนย์เกาหลีศึกษา และอดีตประธานศูนย์เกาหลีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า นอกจากประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ที่ประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) สมัยที่ 151 มีมติบรรจุร่างข้อมติว่าด้วยอาชญากรรมองค์กรข้ามชาติและอาชญากรรมไซเบอร์ และภัยคุกคามแบบผสมผสานต่อประชาธิปไตยและความมั่นคงของมนุษย์ ลงเป็นวาระเร่งด่วนในการประชุมใหญ่ IPU แล้ว ประเทศไทยในฐานะที่มีภูมิประเทศใกล้ชิดกับกัมพูชาควรจะต้องแสดงบทบาทการเป็นศูนย์กลางการแก้ไขปัญหานี้ด้วย

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีประเทศไทย และรัฐบาลไทย สามารถใช้โอกาสจากการประชุม 2 เวทีใหญ่ระดับนานาชาติ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้ เพื่อประกาศจุดยืนความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลาง หรือฮับ (HUB) ในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ ได้แก่ 

  • การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 47 ที่กำลังจะจัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 26 – 28 ต.ค. 2568 
  • การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 29 ต.ค. - 1 พ.ย. 2568 

ซึ่งในเวทีหลังนี้ คาดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีประเทศจีน จะเข้าร่วมด้วย 

ทั้งนี้ สาระสำคัญในการประกาศจุดยืนของประเทศไทยคือ พร้อมรับการสนับสนุนปัจจัยต่างๆ จากนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ บุคลากร เทคโนโลยี องค์ความรู้ รวมถึงหากหน่วยงานของนานาชาติประสงค์จะเข้ามาตั้งศูนย์ปรามปรามต่อต้านสแกมเมอร์โดยใช้พื้นที่ของไทยก็ควรสนับสนุน และนายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเข้าไปมีส่วนช่วยในการบัญชาการ เพื่อให้เกิดภาพการทำงานร่วมกัน

“ประเทศไทยควรจะจับมือกับเกาหลีใต้ เพราะเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและอเมริกา เราควรเสนอกับเกาหลีใต้ว่า ยินดีที่จะเป็นเซ็นเตอร์หรือเป็นฮับ (HUB) ในการบริหารจัดการปัญหาสแกมเมอร์ เชื่อว่าถ้าเราประกาศออกไปแบบนี้ทุกประเทศพร้อมจะลงขันแน่นอน 

นอกจากนี้ที่สำคัญคือเราควรสื่อสารว่าการดำเนินการนี้ไม่เกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และเราไม่ได้ต่อว่าประเทศกัมพูชา แต่เรากำลังช่วยกันจู่โจมสแกมเมอร์ ซึ่งหากทั่วโลกกดดัน เชื่อรัฐบาลกัมพูชาก็ไม่กล้าปฏิเสธ” ดร.ไพบูลย์ กล่าว

 

ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน อาจารย์ประจำศูนย์เกาหลีศึกษา และอดีตประธานศูนย์เกาหลีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)

ดร.ไพบูลย์ กล่าวต่อไปด้วยว่า ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการแสดงเจตจำนงและประกาศตัวเป็น HUB ในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ คือ ภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นของไทยในเวทีโลก เพราะไทยเคยเป็นฐานที่ตั้งของสแกมเมอร์มาก่อนในกรณีก๊กอาน และในช่วงเวลานี้ ก็มีการปล่อยข่าวว่าสแกมเมอร์ในกัมพูชากำลังหลบหนีการจับกุมเข้ามายังฝั่งไทย แม้จะเป็นข้อมูลที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด แต่ไทยก็อาจได้รับผลกระทบ 

ฉะนั้นการที่ไทยประกาศตัวเป็น HUB ในการแก้ไขปัญหา จะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในเวทีนานาชาติและเกิดภาพลักษณ์ที่ดีถึงการเอาจริงเอาจังว่าไทยไม่เป็นส่วนหนึ่งของสแกมเมอร์อย่างเด็ดขาด 

“นอกจากจะเป็นการประกาศจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศแล้ว ยังถือเป็นการประกาศความเอาจริงเอาจังให้กับคนไทยที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์ให้หยุดการกระทำ เพราะการกวาดล้างจับกุมจากที่มีไทยเป็น HUB คือ ความร่วมมือระดับโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะทางการไทยแบบที่ผ่านมา ส่วนตัวเชื่อว่านอกจากจะสามารถคลี่คลายปัญหาภายนอกได้แล้ว ยังจะสามารถช่วยจัดการปัญหาภายในได้ด้วย” ดร.ไพบูลย์ กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่มั่นใจว่าหลายประเทศจะสนับสนุนประเทศไทย เนื่องจากขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์กระทบและเป็นปัญหาระดับโลก ทุกประเทศได้รับความเดือดร้อน เช่น ญี่ปุ่น ขณะนี้ก็กำลังจะคว่ำบาตรกัมพูชา รวมถึงประเทศอื่นๆ ในยุโรปด้วย สำหรับประเทศไทย พบว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวกำลังได้รับผลกระทบเชิงลบจากสแกมเมอร์กัมพูชา 

จากการพูดคุยกับตัวแทนสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) พบว่าขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในช่วงฤดูหนาว ได้แจ้งยกเลิกการเดินทางไปแล้วราว 65% เนื่องจากมีความกังวลและหวาดวิตกเรื่องความปลอดภัย ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้มองว่าปัญหาอยู่แค่ที่ประเทศกัมพูชา แต่มองว่ามีความเสี่ยงทุกพื้นที่ทั้งภูมิภาค

ดร.ไพบูลย์ กล่าวต่อถึงกรณีที่เกาหลีใต้มีท่าทีจะคว่ำบาตรกัมพูชาว่า สิ่งที่จะส่งผลอย่างมากต่อกัมพูชา คือกัมพูชาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) ที่ประเทศพัฒนาแล้วจะมอบให้กับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งที่ผ่านมาเกาหลีใต้ได้สนับสนุนงบประมาณเหล่านี้ให้กัมพูชาเป็นจำนวนมาก 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมาของ ยุน ซอก ยอล ที่ให้การสนับสนุนอย่างมหาศาล เช่น โครงการลุ่มแม่น้ำโขงที่ให้การสนับสนุนหลักพันล้านบาท รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่เป็นโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการเพื่อการศึกษา โครงการด้านสาธารณสุข ด้านคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ 

“ขณะนี้เกาหลีใต้กำลังเดินโครงการในเฟสสอง คือระงับตัดความช่วยเหลือโครงการ ODA ไปหลายโครงการ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่จะส่งผลกระทบมหาศาลต่อกัมพูชา คือนักท่องเที่ยวเรือนแสนที่เคยเดินทางไปเที่ยวกัมพูชาตามโบราณสถานต่างๆ ก็ได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้วจนถึงสิ้นปี สนามบินที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ของกัมพูชาก็แทบจะร้างผู้คน กระทรวงต่างประเทศของเกาหลีใต้ ได้มีคำสั่งห้ามพลเมืองเดินทางไปในบางพื้นที่ของกัมพูชา 

ไทยก็ดูเหมือนจะโดนหางเลขเรื่องนี้ไปด้วย ไทยก็ต้องปรับกลยุทธ์การทำงานและการสื่อสารใหม่ในเวทีระหว่างประเทศว่าไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาด้วย” นักวิชาการธรรมศาสตร์