วันที่ 4 ตุลาคม 2568 GISTDA หรือ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ได้รายงานพื้นที่ภาคกลางที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา โดยเผยว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน เขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำมากกว่า 2,500 ลบ./วินาที ซึ่งอัตราการระบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับพื้นที่ภาคกลาง 4 จังหวัดด้วยกัน ประกอบไปด้วย
ขณะเดียวกันอาจจะส่งผลกระทบถึงพื้นที่ชุมชนนอกคันกั้นน้ำในจังหวัดปทุมธานีและนนทบุรีบางส่วน ในช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนสูง
สำหรับผลกระทบในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หากเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำ มากกว่า 2,500 ลบ.ม./วินาที พื้นที่ที่จะกระทบได้แก่
หากเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำมากกว่า 2,700ลบ.ม./วินาที
ส่วนพายุ“แมตโม”กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์เส้นทางพายุจะพัดขึ้นฝั่งตอนเหนือของประเทศเวียดนามในวันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลา 19.00น. และจะลดกำลังลงเป็นดีเปรสชั่นในช่วงวันที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 19.00น. โดยประมาณ ซึ่งจะมีผลกระทบกับประเทศไทยไม่มาก
แต่อย่างไรก็ตามในช่วงวันที่ 6-9 ตุลาคม 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง เนื่องมาจากร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่าน ในตอนบนของประเทศไทย ประกอบกับมี ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมภาคใต้ฝั่งอันดามัน
อนึ่งเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา GISTDA ได้เปิดภาพจากดาวเทียม THEOS-1 และพบว่า พื้นที่ทุ่งรับน้ำ 6 แห่งที่มีน้ำท่วมขังรวมกันกว่า 386,005 ไร่ ได้แก่ ทุ่งโพธิ์พระยา ทุ่งผักไห่ ทุ่งเจ้าเจ็ด ทุ่งป่าโมก ทุ่งบางบาล และทุ่งบ้านแพน เมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพในการรองรับน้ำ พบว่าทุ่งรับน้ำ 6 แห่งนี้ สามารถรองรับได้สูงสุดถึง 1,231,405 ไร่ ซึ่งหมายความว่ายังมีช่องว่างในการบริหารจัดการเพื่อกระจายน้ำลงสู่พื้นที่รับน้ำได้อย่างมีระบบอีกว่า 845,400 ไร่ ซึ่งถ้ามีการตรวจสอบในรายละเอียดจะเห็นได้ว่า
ข้อมูลดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่า พื้นที่ทุ่งรับน้ำยังคงมีความสามารถในการช่วยรองรับและบรรเทาความรุนแรงของน้ำท่วม หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม โดยเฉพาะการควบคุมการระบายน้ำและการใช้พื้นที่รับน้ำให้เต็มศักยภาพ ทั้งสนี้เทคโนโลยีจากอวกาศสามารถช่วยสนับสนุนหน่วยงานด้านน้ำและภัยพิบัติ รวมถึงติดตามสถานการณ์น้ำได้แบบใกล้เคียงเวลาจริง (near real-time) โดยสามารถระบุพื้นที่ที่น้ำท่วมขัง ความกว้างขวางของพื้นที่น้ำท่วม รวมถึงประเมินปริมาณน้ำที่กระจายอยู่ในทุ่งรับน้ำแต่ละแห่งได้ นอกจากนี้ยังช่วยสนับสนุนการคาดการณ์การไหลของน้ำและการเตรียมรับมือในพื้นที่เสี่ยงภัยล่วงหน้าได้
สำหรับประชาชนที่ต้องการอัปเดตสถานการณ์น้ำท่วมแบบ Near-realtime สามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน“เช็คน้ำ”