“นฤมล”ปรับเกณฑ์สอบครูใหม่-ยกเครื่องประเมินนักเรียน

01 ต.ค. 2568 | 09:29 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ต.ค. 2568 | 08:12 น.

รมว.ศึกษาธิการ สั่งคุรุสภาทบทวนเกณฑ์สอบครู เน้นสมรรถนะวิชาชีพ ลดการวัดผลรายสาขา พร้อมออกมาตรฐาน “ครูการศึกษาพิเศษ” กำชับ สพฐ.ประเมินตามศักยภาพเด็กแต่ละคน

KEY

POINTS

  • คุรุสภาเห็นชอบให้ปรับเกณฑ์การสอบใบประกอบวิชาชีพครู โดยจะเน้นวัดสมรรถนะความเป็นครู และลดหรือยกเลิกการสอบรายสาขาวิชา
  • มีการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพ "ครูการศึกษาพิเศษ" ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อยกระดับคุณภาพครูสำหรับเด็กกลุ่มพิเศษโดยเฉพาะ
  • กระทรวงศึกษาธิการมอบนโยบายให้ปรับระบบการวัดและประเมินผลนักเรียนใหม่ โดยให้เน้นที่ "ศักยภาพรายบุคคล" แทนการจัดลำดับแข่งขัน
  • การประเมินผลนักเรียนรูปแบบใหม่จะให้เด็กเปรียบเทียบพัฒนาการของตนเองกับผลในอดีตและค่าเฉลี่ย เพื่อส่งเสริมความถนัดที่หลากหลาย

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ครั้งที่ 10/2568 โดยมีรัฐมนตรีช่วย นายองอาจ วงษ์ประยูร คณะกรรมการ และนางอมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา เข้าร่วม

ศ.ดร.นฤมล เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการทดสอบสมรรถนะวิชาชีพครู ประจำปี 2568 มีผู้ผ่าน 14,925 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 54 ของผู้สำเร็จการศึกษาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลว่าการสอบรายสาขาวิชา เช่น วิศวกรรมหรือสายช่าง ไม่สะท้อนทักษะที่แท้จริง และอาจทำให้ผู้ผ่านน้อยกว่าที่ควร

ดังนั้น คุรุสภาจึงเห็นชอบปรับเกณฑ์ใหม่ โดยมุ่งวัดสมรรถนะด้านวิชาชีพครูเป็นหลัก ลดหรือยกเลิกการสอบรายสาขา พร้อมเลื่อนการสอบรอบเดือนมกราคม 2569 ออกไปก่อน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้อนุมัติข้อบังคับคุรุสภา กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ “ครูการศึกษาพิเศษ” เป็นครั้งแรก เพื่อยกระดับคุณภาพครูที่สอนเด็กกลุ่มพิเศษโดยเฉพาะ
พร้อมกันนี้ คุรุสภายังรับรองคุณวุฒิการศึกษาจาก 46 แห่ง รวม 131 หลักสูตร ครอบคลุมตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท ไปจนถึงปริญญาเอกด้านการศึกษา รวมทั้งอนุมัติแผนปรับหลักสูตรปริญญาตรีทางการศึกษาของ 3 สถาบัน

                    “นฤมล”ปรับเกณฑ์สอบครูใหม่-ยกเครื่องประเมินนักเรียน

รมว.ศึกษาธิการ ยังได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับระบบการวัดและประเมินผลนักเรียนใหม่ โดยให้เน้น “ศักยภาพรายบุคคล” ไม่ใช่การประกาศผลแบบจัดลำดับเชิงแข่งขัน พร้อมเสนอให้เด็กได้เปรียบเทียบพัฒนาการของตนเองกับค่าเฉลี่ยของกลุ่ม และกับผลการเรียนในอดีต เพื่อวัดการพัฒนาอย่างแท้จริง

“เด็กเก่งไม่ควรจำกัดอยู่ที่คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ควรได้รับการสนับสนุนตามความถนัดเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ กีฬา ภาษา หรือดนตรี เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่” ศ.ดร.นฤมล กล่าว