รายงานข่าวจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ในคดีหมายเลขดำที่ บ. 311/2568 และคดีหมายเลขแดงที่ บ. 363/2568 ของ นายสืบพงศ์ หรือ สืบพงศ์ ปราบใหญ่ ผู้ฟ้องคดี ไว้พิจารณา และสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
นายสืบพงศ์ฯ ผู้ฟ้องคดี เคยเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ในตำแหน่งอาจารย์ สังกัดภาควิชาการศึกษาต่อเนื่องและอาชีวศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) โดยได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568
โดยฟ้องร้อง มหาวิทยาลัยรามคำแหง (ที่ 1), อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ที่ 2), และสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง (ที่ 3)
ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากมติและคำสั่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเพิกถอนสถานะพนักงานมหาวิทยาลัยของตน คำฟ้องร้องมีเนื้อหาหลักให้ศาลพิพากษาเพิกถอนมติและคำสั่งดังต่อไปนี้:
1. มติของคณะกรรมการบริหารงานบุคคลมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ก.บ.ม.) ในการประชุมครั้งที่ 37/2567 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 วาระที่ 6.1 ที่เพิกถอนคำสั่งจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
2. คำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ 4663/2567 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่เพิกถอนคำสั่งจ้างผู้ฟ้องคดี
3. มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (สภามหาวิทยาลัย) ในการประชุมครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 วาระที่ 6.4 ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ดำเนินการให้ผู้ฟ้องคดีได้ กลับเข้ารับราชการและคืนสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้
เนื่องจากคดีนี้ถูกพิจารณาว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง ( 4) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วพบว่า ข้อเท็จจริงได้ปรากฏตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีอื่น ๆ (คดีหมายเลขดำที่ บ. 152/2566, บ. 362/2565, 2409/2566 หมายเลขแดงที่ บ. 127/2568, บ. 128/2568, 696/2568) ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (มหาวิทยาลัยรามคำแหง) ได้มีหนังสือ ที่ อว 0601/2851 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 บอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยไปแล้ว การบอกเลิกสัญญาจ้างดังกล่าวมีผลทำให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง
สาเหตุของการบอกเลิกสัญญาจ้างครั้งก่อนหน้านี้สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ฟ้องคดีได้ ใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ไม่ได้รับการรับรอง จากสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อ.ว.) มาสมัครเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
ดังนั้น ศาลเห็นว่า การที่ ก.บ.ม. มีมติและอธิการบดี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจ้าง รวมถึงมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ที่ยกอุทธรณ์ เป็นเพียงการดำเนินการเพื่อให้มีผลลบล้างการจ้างผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้สิ้นสุดสถานะการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยไปแล้ว เนื่องจากถูกบอกเลิกสัญญาจ้างตามหนังสือ ที่ อว 0601/2851 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565
ศาลจึงสรุปว่า การดำเนินการที่ถูกโต้แย้งในคดีนี้ มิได้เป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาจ้างที่สิ้นสุดไปแล้ว อันจะทำให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาล ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542
สิทธิในการอุทธรณ์
ศาลจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ อย่างไรก็ตาม ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งศาล