กทม. -สภากาชาดไทย เปิดรับบริจาคอวัยวะที่ 50 เขต และจุดบริการด่วนมหานคร

19 ส.ค. 2568 | 11:58 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ส.ค. 2568 | 12:17 น.

กทม.ร่วมกับ สภากาชาดไทย เปิดช่องทางรับบริจาคอวัยวะที่สำนักงานเขตทั้ง 50 แห่งและจุดบริการด่วนมหานคร เช็กเงื่อนไข รูปแบบการบริจาคที่นี่

วันที่ 19 สิงหาคม 2568 กรุงเทพมหานคร และ สภากาชาดไทย ได้จัดงานแถลงข่าว“ความก้าวหน้าความร่วมมือการรับแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะที่สำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร”ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการบริจาคอวัยวะ รวมถึงประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการบริจาคอวัยวะ พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคอวัยวะช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยที่รอการรักษา

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า “การบริจาคอวัยวะเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะว่ามีคนรอการบริจาคเป็นจำนวนมาก แต่เชื่อว่าประชาชนจำนวนมากยังไม่มีข้อมูลหรือไม่ค่อยสะดวกในการบริจาคอวัยวะ สำนักงานเขตซึ่งเป็นศูนย์กลางของการทำบัตรประชาชนได้ให้ความร่วมมือเพื่อให้ประชาชนมีความสะดวกในการบริจาคอวัยวะ สำหรับคนที่มาทำบัตรประชาชนก็จะมีข้อมูลให้ว่าจะบริจาคอวัยวะไหม บริจาคอะไรบ้าง หรือว่าการบริจาคอวัยวะต้องทำอย่างไร นอกจากนี้จะมีแผ่นพับแจกให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการที่สำนักงานเขตด้วย เพื่อให้เข้าใจว่าการบริจาคอวัยวะช่วยชีวิตคนได้จำนวนมาก หนึ่งคนสามารถช่วยได้ถึงแปดคน พร้อมทั้งมีการเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น เช่น การกังวลเรื่องการบริจาคอวัยวะแล้วชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง การบริจาคอวัยวะจะได้บุญ ปัจจุบันสามารถบริจาคอวัยวะได้ทั้ง 50 เขต และจุดบริการด่วนมหานครทุกแห่ง ”
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะจึงได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกโดยร่วมกับอาสาสมัคร 2024 และอาสากาชาด ออกบูธให้ความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการบริจาคอวัยวะให้แก่ประชาชน และเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตในกรุงเทพฯ เพื่อให้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง และเพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการบริจาคอวัยวะเพื่อการปลูกถ่ายให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยนำร่องออกบูธ ณ สำนักงานเขตสายไหมเป็นแห่งแรก ปัจจุบันได้ดำเนินการแล้วจำนวน 35 เขต และจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นครบทั้ง 50 เขตภายในปี 2568

อนึ่งการรับบริจาคอวัยวะมี 2 ส่วน โดยส่วนแรก เป็นการรับบริจาคอวัยวะจากผู้ป่วยที่มีภาวะ “สมองตาย”

  • ทางด้านการแพทย์ “สมองตาย” คือผู้ป่วยถึงแก่กรรมแล้ว แต่หัวใจยังเต้นอยู่ ปอดยังทำงานอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไร เช่น ใช้เครื่องช่วยหายใจ สักพักหัวใจ ปอดจะหยุดทำงาน พูดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีภาวะ “สมองตาย” จะไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกเลย เพียงแต่หัวใจ ปอดจะทำงานยังทำงานอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง 
  • ญาติของผู้ที่มีภาวะ “สมองตาย” จึงควรพิจารณาบริจาคอวัยวะให้ผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อวัยวะบางอย่างวายแล้วและผู้ป่วยจะถึงแก่กรรมในไม่ช้า 
  • ผู้ที่มีภาวะสมองตายอาจบริจาคอวัยวะได้หลาย ๆ อวัยวะ เช่น ไต ตับ ตับอ่อน ฯลฯ ฉะนั้นอาจช่วยชีวิตผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตได้หลายคน

ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือ การเอาอวัยวะมาจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเป็นคนที่ปกติ ไม่เป็นโรค แต่เป็นญาติพี่น้องกับผู้ป่วยที่ต้องการปลูกถ่ายอวัยวะ 

  • ส่วนใหญ่แล้วจะเอาเฉพาะตับ ไต มาจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ก่อนที่จะบริจาคอวัยวะจะต้องตรวจความสมดุลของผู้ที่จะบริจาคกับผู้ที่จะรับบริจาคเสียก่อนว่า อวัยวะที่บริจาคจะเข้ากันได้หรือไม่กับร่างกายของผู้ที่จะรับบริจาค

ขณะที่สถานการณ์การบริจาคอวัยวะและการปลูกถ่ายอวัยวะในปัจจุบัน มีผู้ลงทะเบียนรอรับการปลูกถ่ายอวัยวะทุกอวัยวะมากถึง 7,486 ราย ซึ่งในปี 2567 มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพียง 946 ราย จากผู้บริจาคอวัยวะที่เสียชีวิต จำนวน 436 ราย และผู้รอการปลูกถ่ายอวัยวะเสียชีวิตระหว่างการรอการปลูกถ่าย 166 คน หรือทุกสัปดาห์จะมีผู้เสียชีวิต 3 คน ในขณะนี้มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะขณะมีชีวิตทั้งหมด 1,765,217 คน 

ศูนย์รับบริจาคอวัยวะซึ่งเป็นหน่วยงานมีหน้าที่รับลงทะเบียนผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะขณะมีชีวิตรวมทั้งรับลงทะเบียนและจัดสรรอวัยวะให้กับผู้รอรับอวัยวะทั่วประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องการบริจาคและการปลูกถ่ายอวัยวะ และรณรงค์การบริจาคอวัยวะแก่วงการแพทย์และสาธารณชนโดยทั่วไป สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1666
 กทม.ร่วมกับ สภากาชาดไทย เปิดช่องทางรับบริจาคอวัยวะที่สำนักงานเขตทั้ง 50 แห่งและจุดบริการด่วนมหานคร