คริมสันฯแนะผู้ปกครองเข้าใจตัวตนเด็กปูทางสู่มหาวิทยาลัย

14 ส.ค. 2568 | 22:59 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ส.ค. 2568 | 00:29 น.

คริมสันฯชี้ผู้ปกครองต้องเข้าใจตัวตนเด็ก เปรียบการสร้างอนาคตกับการสร้างบ้านต้องเข้าใจโครงสร้าง และวัสดุหลังปูทางสู่มหาวิทยาลัย

นายภานุวัฒน์ เหลืองรัชนี ผู้อำนวยการ คริมสัน เอ็ดดูเคชั่น ประเทศไทย (Crimson Education) เปิดเผยว่า เมื่อเด็กกำลังจะเข้าสู่มหาวิทยาลัย คำถามที่ผู้ปกครองหลายคนต้องเผชิญคือ จะทำอย่างไรให้ได้เรียนในสถาบันที่ดีที่สุด หากเป้าหมายคือมหาวิทยาลัยระดับโลก สิ่งแรกที่ผู้ปกครองควรปฏิบัติคือ การรับฟังและสังเกต

ทั้งนี้ ความสำคัญของการทำความเข้าใจในตัวตนของเด็ก มหาวิทยาลัยชั้นนำไม่ได้แสวงหาเพียงนักเรียนที่มีผลการเรียนเป็นเลิศ แต่มองหาผู้ที่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีศักยภาพในการประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพที่เลือก

 

โดยเปรียบการสร้างอนาคตของเด็กกับการสร้างบ้าน โดยที่ผู้ปกครองอาจมีภาพที่ชัดเจนของบ้านในฝัน แต่บางครั้งกลับละเลยโครงสร้างและวัสดุหลักที่จำเป็นต่อความแข็งแรงและความปลอดภัย เช่นเดียวกับการผลักดันบุตรหลานสู่เป้าหมาย  เพราะหากไม่เข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของเด็ก ก็เปรียบเสมือนการสร้างบ้านบนรากฐานที่ไม่มั่นคง ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจนักเรียนแต่ละคนก่อนที่จะวางแผนการศึกษา

สำหรับจุดแข็งที่เห็นได้ชัดของนักเรียนไทยคือ มีความโดดเด่นด้านวิชาการ ทั้งเรื่องความขยันและผลการเรียนที่ดี แต่จุดที่เป็นข้อจำกัดคือ ทักษะที่ไม่ใช่เชิงวิชาการ (Soft Skills) เช่น การแสดงออก ทักษะการวิจัย และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาใช้ในการพิจารณา ขณะเดียวกันสังคมไทยยังมีข้อได้เปรียบคือ ความใกล้ชิดของครอบครัว ผู้ปกครองมีความใส่ใจบุตรหลาน ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่างผู้ปกครอง นักเรียน และ Crimson เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

“Crimson ใช้ระบบ Personalized Strategy ซึ่งเป็นกลยุทธ์เฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาสำหรับนักเรียนแต่ละคน  โดยจะเริ่มต้นด้วยการพูดคุยเชิงลึกกับนักเรียน เพื่อทำความเข้าใจความชอบ ความสนใจ และความใฝ่ฝัน จากนั้นจึงประเมินทักษะในทุกด้าน และวางแผนเพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาด ซึ่งช่วยให้วางแผนเส้นทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับนักเรียนแต่ละคนได้ อีกทั้งยังมีการคัดสรรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละด้านให้กับนักเรียน”

นายภานุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ยิ่งเริ่มต้นเตรียมตัวเร็วเท่าไร โอกาสประสบความสำเร็จยิ่งสูงขึ้น ซึ่งนักเรียนและผู้ปกครองที่มีเป้าหมายในการส่งลูกไปศึกษาต่อในต่างประเทศอย่างชัดเจนส่วนใหญ่จะเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่อายุ 13-14 ปีเป็นต้นไป 

นายแมททริว ดิงก์ (Matthew Ding) หนึ่งใน Strategy Consultant ของ Crimson Education กล่าวว่า การสนับสนุนที่ถูกต้องและเหมาะสมจากผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญ คิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของความสำเร็จของนักเรียน การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในทิศทางที่ถูกต้องจะช่วยให้นักเรียนมีกำลังใจและแรงผลักดันในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน