ทำความรู้จัก พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ"

10 ส.ค. 2568 | 04:06 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ส.ค. 2568 | 09:07 น.

วันแม่แห่งชาติ : ประวัติความเป็นมา "พระพุทธรูปปางรำพึง" พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง"

วันที่ "12 สิงหาคม 2568" หรือ "วันแม่แห่งชาติ 2568" ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเฉลิมพระชนมพรรษาของ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" ครบ 88 ปี

ฐานเศรษฐกิจ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ "พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร" หรือ พระพุทธรูปที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระสำคัญของพระองค์ เช่น วันประสูติ หรือวันพระราชสมภพ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปที่มีความหมายลึกซึ้งและมีความเกี่ยวข้องกับพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ในขณะนั้น

การสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารมีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มต้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารถวายพระบรมราชบิดาและพระบรมราชอัยกาของพระองค์ โดยสื่อถึงพระราชศรัทธาที่ทรงมีต่อพระบรมราชวงศ์ของพระองค์

พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ตัวอย่างที่สำคัญของพระพุทธรูปประจำพระชนมวารในยุคปัจจุบัน คือ "พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง"

ซึ่งทรงมีพระราชศรัทธาสูงในการสร้างพระพุทธรูปนี้เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 พระพุทธรูปนี้ทำจากเงินแท้ 96% และมีการเททองหล่อในวันที่ 25 มิถุนายน 2535 โดยพระองค์เองทรงทำพิธีสำคัญในฐานะที่พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระองค์มีความสูงจากฐานแปดเหลี่ยมถึงพระบาทถึง 1 นิ้ว และความสูงจากฐานบัวคว่ำบัวหงายอีก 1 นิ้ว รวมความสูงทั้งหมดจนถึงพระเกตุมาลา 9 นิ้ว

ประวัติความเป็นมา พระพุทธรูปปางรำพึง

พระพุทธรูปปางรำพึง เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระพันปีหลวง และเป็นการแสดงพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้าขณะทรงพิจารณาและครุ่นคิดถึงธรรมะอย่างลึกซึ้ง พระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ยกขึ้นประสานกันที่พระอุระ (หน้าอก) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการคิดทบทวนหรือพิจารณา โดยพระหัตถ์ขวาจะทับพระหัตถ์ซ้ายในท่าทางที่สงบและนิ่งสงบ สื่อถึงการเตรียมตัวเพื่อแสดงธรรมที่สำคัญให้แก่สัตว์โลก

เหตุการณ์ที่นำไปสู่การสร้างพระพุทธรูปปางรำพึงเกิดขึ้นขณะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นไทร พระองค์ทรงพิจารณาว่าธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้นมีความลึกซึ้งและซับซ้อนเกินไปที่จะทำให้บุคคลธรรมดาที่เต็มไปด้วยกิเลสเข้าใจได้ง่าย ดังนั้นพระองค์จึงคิดว่าจะไม่แสดงธรรมต่อผู้ใด แต่แล้วพระทัยหนึ่งของพระองค์เกิดความรู้สึกมักน้อยว่าจะไม่แสดงธรรมต่อใครเลย

คำทูลอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหมจากพรหมโลกได้ส่งเสียงผ่านถึงพระพุทธเจ้าทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวว่ายังมีสัตว์บางประเภทในโลกนี้ที่สามารถฟังธรรมของพระพุทธองค์และเข้าใจได้ จึงขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดชาวโลก พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลายด้วยพุทธจักษุ และพบว่าในโลกนี้มีบุคคลที่มีความสามารถในการรับธรรมแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับการเกิดของดอกบัวในน้ำที่มีหลากหลายสถานะ

รูปจากเพจ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

พระพุทธเจ้าทรงอุปมาสัตว์โลกเหมือนกับดอกบัว 3 ลักษณะ

  • ดอกบัวที่พ้นน้ำ เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และเข้าใจธรรมได้เร็ว เปรียบเสมือนบุคคลที่มีสติปัญญาฉลาดที่สามารถเข้าใจธรรมได้ทันที
  • ดอกบัวที่ปริ่มน้ำ คือผู้ที่มีสติปัญญาดี และสามารถเข้าใจธรรมได้หลังจากได้รับการอบรมและฝึกฝน
  • ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ เป็นผู้ที่เริ่มต้นเรียนรู้และมีความขยันหมั่นเพียรที่จะเข้าใจธรรมในอนาคต

ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า พระองค์จะเปิดประตูสู่ธรรมะให้กับผู้ที่พร้อมจะรับฟังและเข้าใจ โดยกล่าวว่า "โลกจะฉิบหายในครั้งนี้" หากไม่มีใครรับฟังธรรม

ลักษณะพระพุทธรูปปางรำพึง

พระพุทธรูปปางรำพึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพิจารณาและตัดสินใจของพระพุทธเจ้าที่จะทรงแสดงธรรมเพื่อโปรดสัตว์โลก โดยมีพระอิริยาบถที่สงบและมีความหมายลึกซึ้ง

  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบรมราชชนก และ พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระพันปีหลวง ทั้งสององค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในประเพณีและการบูชาของคนไทย
  • ความเชื่อและคตินิยม พระพุทธรูปปางรำพึงถือเป็นพระประจำวันเกิดของคนที่เกิดในวันศุกร์ และยังเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา

การบูชาและการสวดพระคาถา

พระพุทธรูปปางรำพึงยังมีพระคาถาบูชาที่ใช้ในการสวดเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในจิตใจ โดยสวดเป็นจำนวน 21 จบ โดยมีความหมายที่สะท้อนถึงการละทิ้งกิเลสและการแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์

พระคาถาบูชา (สวด 21 จบ)

อัปปะสันเนหิ นาถัสสะ สาสะเน สาธุ สัมมะเต อะมะนุสเสหิ จัณเฑหิ สะทา กิพพิสะการิภี ปะริสานัญจะ ตัสสันนะ มะหิงสายะ จะ คุตติยา ยันเทเสสิ มะหาวีโร ปะริตตัน ตัมภะณามะเหฯ

พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในแต่ละรัชกาล 

พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระมหากษัตริย์ในแต่ละรัชกาลของราชวงศ์จักรีนั้น มีความสำคัญและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคลที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ โดยแต่ละรัชกาลจะมีพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละพระพุทธรูปจะประดิษฐานในสถานที่สำคัญที่เหมาะสมตามแต่ละช่วงเวลา ดังนี้

  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช - พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร (วันพุธ)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย - พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร (วันพุธ)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร (วันจันทร์)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระพุทธรูปปางสมาธิ (วันพฤหัสบดี)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระพุทธรูปปางห้ามแก่นจันทร์ (วันอังคาร)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระพุทธรูปปางนาคปรก (วันเสาร์)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร (วันพุธ)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล - พระพุทธรูปปางถวายเนตร (วันอาทิตย์)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช - พระพุทธรูปปางอภัยมุทรา หรือปางห้ามญาติ (วันจันทร์)
  • พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 10 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระพุทธรูปปางห้ามญาติ (วันจันทร์)

สถานที่ประดิษฐาน

รัชกาลที่ 1-3: ประดิษฐาน ณ หอพระสุราลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง

รัชกาลที่ 4-8: ประดิษฐาน ณ หอพระ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

รัชกาลที่ 9: ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

พระพุทธรูปเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนถึงพระราชประวัติและพระราชจริยวัตรของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ แต่ยังถือเป็นเครื่องหมายแห่งความเคารพและศรัทธาของประชาชนในทุกยุคสมัย อีกทั้งสถานที่ประดิษฐานยังเป็นจุดสำคัญที่ประชาชนสามารถเข้าถึงและสักการะบูชาได้

 

แหล่งข้อมูล

  • สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ. รัตนราชินีศรีประเทศ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
  • สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ตำนานพุทธเจดีย์. ธนบุรี  : ศิลปาบรรณาคาร โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา, 2513.
  • เรื่องพระพุทธรูปปางต่างๆ หลวงบริบาลบุรีรัตน์ และนายเกษมบุญศรี (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ขึ้นเพื่อพระราชทานในงานพระราชกุศลราชคฤหมงคลขึ้นพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2500)
  • สกุลศิลปพระพุทธรูปในประเทศไทย อาจารย์จิตร บัวบุศย์
  • ศิลปในประเทศไทย ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิสกุล