วันที่ "12 สิงหาคม 2568" หรือ "วันแม่แห่งชาติ 2568" ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเฉลิมพระชนมพรรษาของ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" ครบ 88 ปี
ฐานเศรษฐกิจ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ "พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร" หรือ พระพุทธรูปที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระสำคัญของพระองค์ เช่น วันประสูติ หรือวันพระราชสมภพ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปที่มีความหมายลึกซึ้งและมีความเกี่ยวข้องกับพระราชศรัทธาของพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ในขณะนั้น
การสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารมีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มต้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารถวายพระบรมราชบิดาและพระบรมราชอัยกาของพระองค์ โดยสื่อถึงพระราชศรัทธาที่ทรงมีต่อพระบรมราชวงศ์ของพระองค์
ตัวอย่างที่สำคัญของพระพุทธรูปประจำพระชนมวารในยุคปัจจุบัน คือ "พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง"
ซึ่งทรงมีพระราชศรัทธาสูงในการสร้างพระพุทธรูปนี้เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 พระพุทธรูปนี้ทำจากเงินแท้ 96% และมีการเททองหล่อในวันที่ 25 มิถุนายน 2535 โดยพระองค์เองทรงทำพิธีสำคัญในฐานะที่พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระองค์มีความสูงจากฐานแปดเหลี่ยมถึงพระบาทถึง 1 นิ้ว และความสูงจากฐานบัวคว่ำบัวหงายอีก 1 นิ้ว รวมความสูงทั้งหมดจนถึงพระเกตุมาลา 9 นิ้ว
พระพุทธรูปปางรำพึง เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระพันปีหลวง และเป็นการแสดงพระอิริยาบถของพระพุทธเจ้าขณะทรงพิจารณาและครุ่นคิดถึงธรรมะอย่างลึกซึ้ง พระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ยกขึ้นประสานกันที่พระอุระ (หน้าอก) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการคิดทบทวนหรือพิจารณา โดยพระหัตถ์ขวาจะทับพระหัตถ์ซ้ายในท่าทางที่สงบและนิ่งสงบ สื่อถึงการเตรียมตัวเพื่อแสดงธรรมที่สำคัญให้แก่สัตว์โลก
เหตุการณ์ที่นำไปสู่การสร้างพระพุทธรูปปางรำพึงเกิดขึ้นขณะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นไทร พระองค์ทรงพิจารณาว่าธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้นมีความลึกซึ้งและซับซ้อนเกินไปที่จะทำให้บุคคลธรรมดาที่เต็มไปด้วยกิเลสเข้าใจได้ง่าย ดังนั้นพระองค์จึงคิดว่าจะไม่แสดงธรรมต่อผู้ใด แต่แล้วพระทัยหนึ่งของพระองค์เกิดความรู้สึกมักน้อยว่าจะไม่แสดงธรรมต่อใครเลย
คำทูลอาราธนาของท้าวสหัมบดีพรหมจากพรหมโลกได้ส่งเสียงผ่านถึงพระพุทธเจ้าทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวว่ายังมีสัตว์บางประเภทในโลกนี้ที่สามารถฟังธรรมของพระพุทธองค์และเข้าใจได้ จึงขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดชาวโลก พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลายด้วยพุทธจักษุ และพบว่าในโลกนี้มีบุคคลที่มีความสามารถในการรับธรรมแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับการเกิดของดอกบัวในน้ำที่มีหลากหลายสถานะ
พระพุทธเจ้าทรงอุปมาสัตว์โลกเหมือนกับดอกบัว 3 ลักษณะ
ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า พระองค์จะเปิดประตูสู่ธรรมะให้กับผู้ที่พร้อมจะรับฟังและเข้าใจ โดยกล่าวว่า "โลกจะฉิบหายในครั้งนี้" หากไม่มีใครรับฟังธรรม
พระพุทธรูปปางรำพึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพิจารณาและตัดสินใจของพระพุทธเจ้าที่จะทรงแสดงธรรมเพื่อโปรดสัตว์โลก โดยมีพระอิริยาบถที่สงบและมีความหมายลึกซึ้ง
พระพุทธรูปปางรำพึงยังมีพระคาถาบูชาที่ใช้ในการสวดเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในจิตใจ โดยสวดเป็นจำนวน 21 จบ โดยมีความหมายที่สะท้อนถึงการละทิ้งกิเลสและการแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์
พระคาถาบูชา (สวด 21 จบ)
อัปปะสันเนหิ นาถัสสะ สาสะเน สาธุ สัมมะเต อะมะนุสเสหิ จัณเฑหิ สะทา กิพพิสะการิภี ปะริสานัญจะ ตัสสันนะ มะหิงสายะ จะ คุตติยา ยันเทเสสิ มะหาวีโร ปะริตตัน ตัมภะณามะเหฯ
พระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระมหากษัตริย์ในแต่ละรัชกาลของราชวงศ์จักรีนั้น มีความสำคัญและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคลที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ โดยแต่ละรัชกาลจะมีพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละพระพุทธรูปจะประดิษฐานในสถานที่สำคัญที่เหมาะสมตามแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
สถานที่ประดิษฐาน
รัชกาลที่ 1-3: ประดิษฐาน ณ หอพระสุราลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง
รัชกาลที่ 4-8: ประดิษฐาน ณ หอพระ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง
รัชกาลที่ 9: ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง
พระพุทธรูปเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนถึงพระราชประวัติและพระราชจริยวัตรของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ แต่ยังถือเป็นเครื่องหมายแห่งความเคารพและศรัทธาของประชาชนในทุกยุคสมัย อีกทั้งสถานที่ประดิษฐานยังเป็นจุดสำคัญที่ประชาชนสามารถเข้าถึงและสักการะบูชาได้
แหล่งข้อมูล