ทรัพยากรธรรมชาติในทะเลหลวง: ควรเป็นของใคร ?

22 มิ.ย. 2559 | 14:00 น.
ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของโลกเราเป็นทะเลหลวง (ศัพท์กฎหมายระหว่างประเทศ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า High seas) ที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐใดๆ ที่จะเข้าไปดูแล แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มนุษย์เราสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากทะเลหลวงมากขึ้น ไม่ใช่แค่การจับปลาผิวน้ำแต่สัตว์น้ำในทะเลลึกก็ยังมีการนำขึ้นมาหาประโยชน์หากมีเงินและความสามารถ จึงมีแนวโน้มว่าทรัพยากรที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของเหล่านี้จะกลายเป็น “โศกนาฎกรรมรุมแย่งของส่วนรวม” (“Tragedy of the Commons”) หรือ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” เสียแล้วครับหากทุกคนนิ่งเฉย

ก็โชคดีที่สหประชาชาติซึ่งมีบทบาทยาวนานในการจัดการดูแลมหาสมุทรและทะเลหลวงอันเป็นทรัพยากรร่วมกันของทุกชาติ ไม่นิ่งเฉย และกำลังพิจารณาแก้ปัญหานี้อยู่ครับ

มหาสมุทรเป็นเส้นทางคมนาคมค้าขายที่สำคัญมาแต่โบราณ อีกทั้งยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติมูลค่ามหาศาล นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารให้แก่ประชากรของโลกแล้ว ยังเป็นแหล่งรายได้ โดยเพียงแค่สาขาประมงก็สร้างรายได้สูงถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคนี้ซึ่งเรามีปัญหาโลกร้อน เรายังค้นพบอีกว่ามหาสมุทรเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ด้วย โดยหากคำนวณเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วจะอยู่ระหว่าง 7.4 หมื่นล้าน - 2.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีทีเดียว ประชาคมระหว่างประเทศจึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการมหาสมุทรอย่างยิ่ง

ในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา เรามีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 เป็นกรอบกฎหมายในการใช้และรักษาดูแลมหาสมุทร แต่ดูเหมือนว่าเรามีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปัญหาจับปลามากเกินไป (ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงินอุดหนุนจากรัฐให้อุตสาหกรรมประมง) ไปจนถึงปัญหาขยะในมหาสมุทร ซึ่งทุกคนคงมีส่วนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเนื่องจากสาเหตุหลักมาจากขยะและของเสียจากชุมชนบนแผ่นดินซึ่งยังไม่มีการควบคุมดูแลอย่างเพียงพอจนเกิดปรากฏการณ์ขยะมหาศาล โดยเฉพาะพลาสติก ถูกกระแสน้ำพัดไปตกค้างอยู่ตามชายหาดบนเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ นกและเต่าทะเลจำนวนมากต้องตายเพราะพลาดไปกินขยะเหล่านี้เข้าไป

นอกจากนี้ เราจำเป็นต้องหาทางบริหารจัดการทรัพยากรที่ยังไม่มีระบอบดูแลรักษา ที่สำคัญได้แก่ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลหลวง ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่ครอบคลุมเพียงทรัพยากรในพื้นที่ภายใต้อำนาจรัฐ จึงได้เกิดข้อเสนอให้การจัดการทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลใช้ระบอบเดียวกันกับพื้นดินใต้ทะเลนอกเขตอำนาจรัฐ กล่าวคือ ให้ถือว่าเป็นทรัพยากรส่วนร่วมที่หากมีการนำไปใช้ประโยชน์จะต้องมีการแบ่งปันผลประโยชน์คืนแก่ส่วนรวม แต่ฝ่ายประเทศที่มีศักยภาพ (เงินและเทคโนโลยี) ที่จะตักตวงทรัพยากรในทะเลหลวงก็มองว่าทรัพยากรดังกล่าว ทุกคนควรเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยเสรี ตามหลัก “เสรีภาพในทะเลหลวง” อันเป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่ประมวลไว้ในอนุสัญญา ค.ศ. 1982

พัฒนาการสำคัญประการต่อมาคือการเสนอจัดตั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเลเพื่อเป็นสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและคุ้มครองถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ รวมถึงการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งมีการพูดถึงการจัดตั้งกลไกรองรับในเรื่องนี้ขึ้นมาเนื่องจากยังไม่สามารถจัดตั้งเขตอนุรักษ์ในทะเลหลวงได้ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติคงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ภายในพื้นที่ทางทะเลที่อยู่ภายใต้อำนาจของประเทศต่างๆ ก็ยังมีการจัดตั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเลกันไม่มากนัก จนทำให้สหประชาชาติตั้งเป็นเป้าหมายหนึ่งสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนว่าจะต้องจัดตั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเลให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 10 ของพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งในภูมิภาคอาเซียน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและมาเลเซียก็ค่อนข้างแข็งขันในเรื่องนี้และร่วมกันจัดตั้งพื้นที่อนุรักษ์ในเขตทางทะเลที่ติดต่อกัน

ทะเลหลวงเป็นสาธารณสมบัติที่ต้องช่วยกันรักษาเพื่อการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืนครับ ประเด็นที่เกี่ยวข้องมีมาก แต่ที่แน่ๆ อาจจำเป็นต้องจำกัดเสรีภาพในทะเลหลวงบ้างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และขณะนี้ สมาชิกสหประชาชาติกำลังเจรจาสร้างกลไกขึ้นมาบริหารจัดการ ซึ่งไทยก็เข้าร่วมอย่างแข็งขัน เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแล คงต้องติดตามกันต่อไปครับ

Photo : Pixabay ภาพปกไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,167 วันที่ 19 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559