สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลังมีรายงานว่า กองกำลังของกัมพูชาได้ใช้จรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตีเข้ามาในพื้นที่ฝั่งไทย โดยหนึ่งในเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ คือ โรงพยาบาลพนมดงรัก อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของพลเรือน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งอพยพผู้ป่วยท่ามกลางความโกลาหล และสร้างความวิตกในวงกว้างว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่าย การละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง
กรณีที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลพนมดงรัก ไม่เพียงแต่เป็นภัยต่อความมั่นคงภายในของไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสั่นคลอนหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรม
อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) คือชุดสนธิสัญญาสากลว่าด้วยหลักมนุษยธรรมในภาวะสงคราม ซึ่งได้รับการรับรองจากนานาประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดความโหดร้ายและคุ้มครองผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสู้รบ
สนธิสัญญาชุดนี้ประกอบด้วย 4 ฉบับหลัก ได้แก่
ฉบับที่ 1 คุ้มครองทหารที่บาดเจ็บและบุคลากรทางการแพทย์ในสนามรบทางบก
ฉบับที่ 2 คุ้มครองผู้ได้รับบาดเจ็บจากการรบทางทะเล
ฉบับที่ 3 คุ้มครองเชลยศึกจากการถูกทรมานหรือปฏิบัติอย่างโหดร้าย
ฉบับที่ 4 คุ้มครองพลเรือนในช่วงเวลาที่เกิดสงครามหรือการยึดครอง
นอกจากนี้ ยังมีพิธีสารเพิ่มเติมอีก 3 ฉบับ ที่ช่วยขยายความและปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องกับสงครามยุคใหม่
อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1949 ได้กำหนดไว้ชัดเจนใน ข้อ 18 ว่า โรงพยาบาลของพลเรือนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาผู้บาดเจ็บ ผู้ป่วย ผู้ทุพพลภาพ และสตรีที่กำลังคลอดบุตร จะต้องได้รับการคุ้มครอง และไม่อาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีได้ ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โรงพยาบาลไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร และการโจมตีสถานที่เหล่านี้ถือเป็น ข้อห้ามเด็ดขาด
ภายใต้ มาตรา 85(3) การโจมตีโรงพยาบาลพลเรือนโดยเจตนาถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง (Grave Breach) และอาจถูกพิจารณาให้เป็น "อาชญากรรมสงคราม (War Crime)" หากมีหลักฐานชี้ชัดว่าการโจมตีโรงพยาบาลเป็นการกระทำโดยเจตนา ไม่ใช่ความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ
บทบาทของไทยในอนุสัญญาเจนีวา
ในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในภาคีของอนุสัญญาทั้ง 4 ฉบับและพิธีสารเพิ่มเติม ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด ทั้งในแง่ของการคุ้มครองประชาชนภายในประเทศ และการแสดงจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศต่อการกระทำที่อาจเข้าข่ายละเมิด
อ้างอิงข้อมูล